ที่มา Thai E-News
โดย ชำนาญ จันทร์เรือง
การขับเคลื่อน ร่าง
พรบ.เชียงใหม่มหานครได้จุดประกายให้แก่จังหวัดต่างๆมากว่า 40
จังหวัดให้หันมามองถึงสภาพการณ์ของการรวมศูนย์อำนาจและมองเห็นถึงความเป็นไป
ได้ของจังหวัดตนเอง
แม้ว่าจะได้รับการคัดค้านบ้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยเหตุแห่งการสูญ
เสียอำนาจที่เคยมีและหวั่นเกรงถึงความไม่แน่นอนในอนาคตของตนเอง
แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้ เพราะจะมากหรือน้อย จะช้าหรือเร็ว ก็ต้องเกิดขึ้น
ความสนใจในประเด็นนี้นอกเหนือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วยังได้แพร่กระจาย
ไปยังแวดวงวิชาการอย่างกว้างขวาง
ได้มีการสอบถามและค้นคว้าวิจัยในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของรายงาน
ย่อย(Papers) การค้นคว้าอิสระ(Independence
Study)หรือการทำวิทยานิพนธ์(Thesis)ในเรื่องต่างๆเหล่านี้
แต่จากการได้สอบถามและพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันแล้ว
ผมพบว่าหลายคนยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องของการปกครองท้องถิ่นว่ามี
อยู่รูปแบบเดียวคือจะต้องเป็นไปในทางของการกระจายอำนาจออกจากส่วนกลางเท่า
นั้น ทั้งๆที่ระบบการปกครองท้องถิ่นที่เป็นสากลนั้นมีอยู่ 2 ระบบใหญ่ คือ
1. ระบบแองโกลแซกซัน (Anglo-Saxon System)
ระบบนี้มีรากฐานและวิวัฒนาการมาจากประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นอันยาวนาน
ของอังกฤษ ซึ่งถือว่า
การปกครองท้องถิ่นเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการรวมตัวกันเป็นรัฐชาติ
(Nation-State) และประเทศอังกฤษเกิดจากการรวมตัวของท้องถิ่นต่างๆ
โดยท้องถิ่นยังคงสงวนอำนาจของท้องถิ่นเอาไว้โดยมอบอำนาจบางประการให้ส่วน
กลางดำเนินการเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
การปกครองท้องถิ่นภายใต้ระบบนี้จึงเป็นแบบอย่างของการปกครองที่เปิดโอกาสให้
ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองท้องถิ่นของอย่างกว้างขวาง
แต่ละท้องถิ่นมีรูปแบบและวิธีการในการดำเนินการปกครองตามแบบอย่างของตนเอง
ตามจารีตประเพณีของท้องถิ่นซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมา
เป็นผลทำให้การปกครองท้องถิ่นตามระบบนี้มีความหลากหลาย
ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว
แต่จะมีลักษณะเด่นคือการมีอำนาจปกครองตนเองและความเป็นอิสระของท้องถิ่น
การปกครองท้องถิ่นตามระบบนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นการปกครองตนเองของท้องถิ่น
(Local Self Government)
ประเทศต่างๆ ที่ใช้การปกครองท้องถิ่นระบบนี้นอกจากอังกฤษแล้ว
ยังได้แก่ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษและประเทศในเครือจักรภพ เช่น
สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ปากีสถาน เป็นต้น
2. ระบบคอนติเนนตัล ( Continental System)
ระบบนี้เกิดขึ้นในภาคพื้นทวีปยุโรป
โดยมีรากฐานและวิวัฒนาการมาจากประวัติศาสตร์จากการปกครองของฝรั่งเศส
ซึ่งเน้นหลักการรวมอำนาจและเอกภาพแห่งรัฐ
โดยถือว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มในการปกครองและบริหารประเทศ
ส่วนการปกครองท้องถิ่นเกิดจากการกระจายอำนาจของรัฐบาล
โดยรัฐบาลมอบหมายอำนาจบางประการให้แก่ท้องถิ่น
ดังนั้น ท้องถิ่นจะมีอำนาจในการปกครองตนเองและมีความอิสระมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก
การปกครองท้องถิ่นในระบบนี้รัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบ โครงสร้าง ขนาด
ขอบเขตอำนาจหน้าที่ ตลอดจนกฎระเบียบต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบที่ชัดเจน มีความเป็นเอกรูป (Uniformity) คือ
จัดแบบเดียวกันทั่วทั้งประเทศ
ขณะเดียวกันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล
เพราะประเทศที่ใช้ระบบนี้จะมีการใช้อำนาจบริหารโดยใช้หลักการรวมอำนาจปกครอง
การแบ่งอำนาจปกครองและการกระจายอำนาจปกครองไปพร้อมๆ กัน
การบริหารงานของรัฐที่เกิดจากการแบ่งอำนาจ ซึ่งได้แก่
การบริหารราชการส่วนภูมิภาค
จะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
และบางครั้งอาจมีการซ้อนทับหรือเหลื่อมล้ำระหว่างกันทั้งในด้านโครงสร้างและ
อำนาจหน้าที่ โดยองค์กรปกครองท้องถิ่นในระบบนี้จะไม่มีความเป็นอิสระ
ต้องอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของรัฐบาลจนถูกเรียกว่าเป็นการปกครองท้องถิ่น
โดยรัฐ (Local State Government)
ประเทศที่ใช้การปกครองท้องถิ่นระบบนี้นอกเหนือจากฝรั่งเศสและภาคพื้นยุโรป
บางประเทศ เช่น สเปน อิตาลี ฯลฯ แล้ว
ยังได้แก่ประเทศที่นิยมการรวมศูนย์อำนาจทั้งหลาย
ซึ่งเมื่อหันมาดูรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของไทยเราที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
แล้ว พบว่าได้มีการใช้รูปแบบการปกครองท้องถิ่นแบบผิดฝาผิดตัวมาโดยตลอด
โดยใช้ระบบคอนติเนนตัลที่อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองท้องถิ่นจะมากหรือน้อย
ขึ้นอยู่กับส่วนกลางที่จะ “กระจายอำนาจ”ลงมาให้
ที่ผมกล่าวว่าใช้รูปแบบการปกครองท้องถิ่นแบบผิดฝาผิดตัวมาตลอดก็เนื่องเพราะ
วิวัฒนาการของการเป็นรัฐชาติ(Nation-State)ของไทยนั้นได้เกิดขึ้นจากการรวม
หัวเมืองต่างๆทั้งที่เคยเป็นอิสระ(Independence)หรือเคยเป็น
ประเทศราช(Dependence)ที่มีการปกครองตนเองมาอย่างยาวนาน
มีรูปแบบการปกครองที่เป็นของตนเองที่แตกต่างจากที่อื่น เช่น
การมีและใช้คัมภีร์มังรายศาสตร์ของอาณาจักร์ล้านนา เป็นต้น
โดยไทยเราลอกแบบจากการปกครองที่มีการส่งข้าหลวงไปปกครองแบบเมือง
ขึ้น(Colony)ของอังกฤษกับอินเดีย
แต่ลอกแบบการบริหารราชการแผ่นดินที่มีราชการส่วนกลาง
ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นจากฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสเองจังหวัดก็กลายเป็นราชการส่วนท้องถิ่นตั้งแต่ปี 1982
แล้ว
แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นแล้ว
ได้
แต่เราสามารถที่จะนำข้อเท็จจริงหรือบริบททางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีต
เพื่อนำมารับใช้ปัจจุบันให้เกิดประโยชน์ได้
และการปกครองท้องถิ่นก็เช่นเดียวกัน
การยกร่าง
พรบ.เชียงใหม่มหานครขึ้นไม่ได้มีความมุ่งหวังที่กลับไปสู่ความเป็นอาณาจักร
ล้านนาในอดีต แต่เป็นความมุ่งหวังที่จะ
“จัดการตนเอง”เช่นในอดีตที่เคยกระทำมาแล้วอย่างยาวนาน
ฉะนั้น
การจัดการบริหารราชการแผ่นดินของไทยที่ถูกต้องจึงต้องจัดการปกครองท้องถิ่น
ตามระบบแองโกลแซกซัน นั่นก็คือการ “คืนอำนาจ”ให้แก่ท้องถิ่น มิใช่
“การกระจายอำนาจ”ที่นึกอยากจะให้ก็ให้
ไม่อยากจะให้ก็ไม่ให้หรือแม้แต่การอยากจะเรียกคืนก็เรียกคืนเอาเสียดื้อๆ
ดังเช่นที่ผ่านๆมา
ผู้ที่คัดค้านด้วยเหตุที่เกรงว่าจะสูญเสียอำนาจจึงเป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีอำนาจนั้นมาตั้งแต่เดิมแล้ว
การยกร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครจึงไม่ใช่การเรียกร้องให้ส่วนกลางกระจายอำนาจ
แต่เป็นเรียกคืนอำนาจให้ท้องถิ่น
“ปกครองตนเอง”ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 78 และมาตรา
281-290 รับรองไว้ โดยเหลืออำนาจให้ราชการส่วนกลาง คือ การทหาร
การต่างประเทศ ระบบเงินตรา และการศาล
คืนอำนาจให้ท้องถิ่นด้วยการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคตามระบบแองโกลแซกซันดัง
แนวทางของ ร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครที่วางไว้เถอะครับ
บ้านเมืองเราจะได้เจริญทัดเทียมกับนานาอารยประเทศกันเสียทีครับ
----------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 12 ธันวาคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น