การอภิปรายไม่วางใจรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ในประเด็นจำนำข้าวโดยฝ่ายค้าน
และวิวาทะของนักวิชาการอาวุโส อาจารย์นิธิ vs อาจารย์อัมมาร/นิพนธ์”
เรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่กำลังร้อนแรง
มีหลายประเด็นที่อยากจะลองคิดต่อด้วยท่าทีที่ไม่ได้คิดว่าจะมีสติปัญญาร่วม
วิวาทะกับผู้หลักผู้ใหญ่
เหตุที่เลือกมองจำนำข้าวด้วยสามัญสำนึกแบบชาวนาเพราะเห็นว่า
การมองโครงการรับจำนำข้าวว่าดี-เลว ชอบ-ไม่ชอบ มักขึ้นอยู่กับทัศนะ ท่าที
และจุดยืนบางอย่างอยู่เสมอ โดยเฉพาะในจุดยืนที่ว่า
พี่น้องถูกกดถูกรีดด้วยรูปแบบสารพัดมายาวนาน
เมื่อมีนโยบายที่ลืมตาอ้าปากบ้างก็ต้องชื่นชอบ
ที่สำคัญคือ
การพูดจากแง่มุมชาวนาก็อาจจะไม่ต้องรับผิดชอบด้านความมีเหตุมีผลมากนัก
เพราะชาวนามักจะถูกดูถูกอยู่แล้วว่าเป็นพวกโง่งก เหยื่อประชานิยม
เป็นผู้คนที่มักถูกมองว่าใช้แต่อารมณ์ความรู้สึก
ไม่มองการณ์ไกลเหมือนคนชั้นกลาง
ข้อถกเถียงเรื่องชาวนายากจน vs ปานกลาง-รวย
การมองว่าการอุดหนุนควรให้คนเล็กๆ
ได้รับความช่วยเหลือเป็นอันดับแรกหรือในสัดส่วนที่มากมากกว่า
หรือคนรวยไม่ควรได้รับการอุดหนุนเป็นสิ่งที่ดีงาม
แต่ข้อถกเถียงในประเด็นว่า
ชาวนารายเล็กได้ประโยชน์ในสัดส่วนที่น้อยกว่าชาวนาปานกลางและชาวนารวย
หรือในการอภิปรายไม่ไว้วางใจถึงกับมีข้อสรุปทำนองว่าชาวนารายเล็กไม่ได้
ประโยชน์ การพิจารณาประเด็นนี้ต้องแยกแยะเพราะบางส่วนจริง เช่น
คนที่ทำนาไว้กินหรือสีข้าวขายเอง แต่ก็มีข้อควรพิจารณาอื่น
นิยามชาวนาขนาดเล็กที่ใช้กันอยู่คือ ขายข้าวได้ไม่เกิน 200,000 บาท
ในจำนวนราว 14 เกวียนหรือตัน มีข้อน่าสังเกตคือ
ชาวนารายเล็กที่เก็บข้าวไว้กินไม่ได้ประโยชน์จากการรับจำนำแน่ๆ
แต่การเก็บข้าวไว้กินในหนึ่งปีเพียงเกวียนเดียวเพื่อสีข้าวสารในครอบครัวก็
กินแทบไม่หมดแล้ว
ส่วนพี่น้องชาวนาแถบภาคกลางหรือในเขตชลประทานได้รับการส่งเสริมให้ปลูก
ข้าว กข.มายาวนานแล้ว พวกเขาจึงปลูกข้าวเหมือนปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน ฯลฯ
เพราะสีข้าวสารกินไม่ได้สักเม็ดหนึ่ง
เป็นข้าวคุณภาพต่ำเข็นส่งโรงทำแป้งอย่างเดียว
ปลูกข้าวเท่าไรก็เข็นเข้าขายให้แก่โรงสีทั้งหมด
จึงเชื่อได้ว่า คนปลูกข้าวไว้กินจะเหลือน้อยมากในภาคกลาง
และอาจจะมีมากในภาคเหนือ ใต้ ที่มีพื้นที่เล็กๆ
รวมทั้งในภาคอีสานซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวนาปีก็สามารถเก็บไว้บริโภคเองแน่ๆ
แต่ปริมาณชาวนาและจำนวนข้าวเปลือกโดยรวมที่ไม่ได้ประโยชน์จากโครงการจำนำ
ข้าวเพราะเป็นการปลูกข้าวไว้กินจึงไม่น่าจะมากมายนัก
อีกประการหนึ่งสำหรับคนปลูกข้าวไว้กินนั้นหากมองการอุดหนุนนับชาวนาใน
ฐานะ “อาชีพ” ที่ควรได้รับการอุดหนุน
ก็น่าพิจารณาเหมือนกันการทำนาไว้กินในครัวเรือนจะนับเป็นอาชีพที่ควรจะเข้า
ไปดูแลอุดหนุนหรือไม่
สิ่งที่พบเห็นบ่อยๆ คือ
คนเหล่านี้เขาก็ไม่ได้สนใจที่อยากจะเข้าสู่การรับเงินอุดหนุนในช่วงประกัน
รายได้มากนัก เพราะไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปตั้งแต่ต้องไปแจ้งขึ้นทะเบียน
เข้าร่วมจัดประชาคม ไปติดต่อ ธกส.เพื่อเบิกเงิน ฯลฯ ได้ส่วนต่างแค่ราวๆ
เกวียนละ 1,000 กว่าบาท
และยังไม่แน่นอนว่าจะได้หรือไม่เนื่องจากราคาข้าวอาจจะสูงใกล้ 12,000 บาท
โดยรัฐบาลไปต้องจ่ายเงินส่วนต่าง
ส่วนประเด็นชาวนาปานกลาง-รวย ที่นิยามว่า ชาวนาที่รายได้มากกว่า 2
แสนบาท ขายข้าวเปลือกได้ 14 เกวียน/ตัน ไม่เรียกชาวนารายเล็ก
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงพี่น้องในพื้นที่โฉนดชุมชนคลองโยงที่มีพื้นที่ทำนากัน
ราว 20 ไร่ต่อครัวเรือน และทำนาได้ข้าวเปลือกไร่ละ 100 ถังหรือหนึ่งตันนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวนาภาคกลางที่ทำนาตั้งแต่ 15
ไร่ขึ้นไปก็กลายเป็นกลุ่มชาวนาปานกลาง-รวยไปหมดแล้ว
แต่พี่น้องที่กล่าวมานี้คงจะไม่นับตนเองว่าอยู่ในกลุ่มชาวนาที่พอมี
ฐานะ และที่ซับซ้อนไปกว่านั้นก็คือ ในครัวเรือนที่ทำนา 20 ไร่
หรืออาจจะเป็น 30-40 ไร่ ก็แล้วแต่ การทำนาแปลงใหญ่ๆ
ที่เห็นและนับจากใบประทวน/ใบเสร็จรับเงินจะเป็นเพียงภาพลวงตา
เพราะรายได้ดังกล่าวอาจจะเป็นรายได้ของครอบครัวใหญ่
และก็สามารถพบได้โดยทั่วไปเนื่องจากการทำนาเดี๋ยวนี้สามารถบริหารจัดการด้วย
จำนวนคนไม่มาก
ที่ดินจำนวน 20 ไร่ หรือแม้แต่ 30-40 ไร่
ซึ่งเป็นที่ดินของครัวเรือนจนถึงคนรุ่นนี้แล้วหากแบ่งกันตามเจ้าของซึ่งเป็น
สมาชิกในครัวเรือนอาจจะเหลือคนละไม่กี่ไร่
รายได้จากการขายข้าวก็ต้องนำมาเฉลี่ยกัน
ลุงผมซึ่งเป็นประธานสหกรณ์ที่ดินคลองโยงฯ มายาวนานมาก ตอนนี้อายุ 92 ปีแล้ว
มีลูก 12 คน นี่ไม่ต้องนับหลาน เหลน โหลน แบ่งนา 20
ไร่ที่ได้รับมอบจากสหกรณ์เมื่อปี 2519 จะเหลือกันคนละกี่ตารางวา
ยังมีเพื่อนๆ ที่ไล่ล่าหาเช่าที่ดินจากนายทุนซึ่งซื้อเก็บเอาไว้
เขายอมจ่ายค่าเช่านาไร่ละ 1,000-1,500 บาทต่อรอบ ดังนั้น การมีนาเช่า 40-50
ไร่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถลืมตาอ้าปากได้แบบรุ่งโรจน์
โดยไม่สมควรจะต้องได้รับการอุดหนุน
ผมไม่มีตัวเลขภาพรวมที่จะโต้แย้งว่าคนสองสามกลุ่มเหล่านี้ว่ามีจำนวนเท่าไร
เพียงแต่เห็นว่าการนิยามน่าจะมีปัญหาและควรจะตรวจสอบกันอีกมาก
ข้อถกเถียงเรื่องคุณภาพข้าว
แน่นอนว่า
การอุดหนุนรายได้แก่ผู้ปลูกข้าวจะทำให้ชาวนาเร่งปลูกข้าวเพื่อให้ได้ผลผลิต
มากๆ และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วที่สุด
ชาวนาที่เคยปลูกข้าวนาปีจะแห่กันมาปลูกข้านาปรังเพราะข้าวพันธุ์ห่าเหวอะไร
ก็จำนำได้ 15,000 บาทเหมือนกัน
แต่เราต้องไม่ลืมว่าชาวนาในเขตชลประทานแห่มาปลูกข้าว
กข.และซื้อข้าวกินกันมานานแล้ว
โรงสีชุมชนตั้งแต่สมัยโครงการลงทุนเพื่อสังคม (SIF)
โครงการที่อาจมีชื่อแตกต่างไปในจุดประสงค์เดียวกัน
ที่มุ่งให้ชาวนาผลิตข้าวคุณภาพดีและสีกินสีขายส่วนใหญ่จึงล้มเหลวและกลาย
เป็นอนุสาวรีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ภาคกลาง
โรงสีบางแห่งสีข้าวบ้างแต่เป็นการสีข้าวเปลือกคุณภาพต่ำเพื่อเอาไปหุงให้หมา
กิน
อย่างไรก็ดี นโยบายจำนำได้เปิดรับข้าวคุณภาพต่ำลงไปอีก กล่าวคือ
ช่วงนโยบายประกันราคาเคยกำหนดว่าไม่รับข้าวคุณภาพต่ำที่ใช้เวลาปลูกจนถึง
เก็บเกี่ยวน้อยกว่า 100 วัน
แต่นโยบายจำนำข้าวไม่ได้จำกัดเอาไว้ชาวนาจึงแห่กันหาข้าวอายุ 90
วันหรือน้อยกว่า จนกระทั่งพันธุ์ข้าวเช่นนี้ขาดท้องตลาด
ไม่พอความต้องการของชาวนา
ความกังวลเรื่องผลจากนโยบายจำนำที่จะนำไปสู่คุณภาพข้าวที่ต่ำ
อาจจะเป็นจริงอีกในพื้นที่ซึ่งปลูกข้าวนาปี ดังเช่นในภาคอีสานและภาคเหนือ
เพราะข้าวหอมมะลิเป็นข้าวนาปีที่ต้องใช้เวลาปลูกราว 6 เดือน
แต่การปรับระบบการผลิตจากข้าวนาปีมาเป็นข้าวนาปรังก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ
เพราะหากมีข้อจำกัดเรื่องระบบชลประทานก็ไม่สามารถทำได้
หรือทำไม่ได้ในเวลาอันสั้น
ส่วนข้าวนาปรังที่มีคุณภาพดีในระดับที่บริโภคได้ เช่น
พันธุ์ปทุมธานีหรือหอมปทุม (อายุการผลิตราว 4 เดือนหรือ 120 วัน)
รวมทั้งข้าวพันธ์พื้นเมืองและข้าวพันธุ์ดีที่มีการพัฒนาใหม่ (เช่น ข้าวนิล
สินเหล็ก ปิ่นเกษตร ไรซ์เบอร์รี (Rice Berry) ฯลฯ)
ชาวนาส่วนใหญ่ก็ไม่ปลูกอยู่ดีไม่ว่าจะเป็นนโยบายแบบใด
จะมีก็แต่โรงสีชุมชนเล็กๆ
หรือกิจการวิสาหกิจชุมชนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่น่าจะมากนัก
การผลิตดังกล่าวนี้ได้รับประโยชน์จากการประกันราคามากกว่าจำนำแน่ๆ
เพราะแม้จะสีข้าวขายสีกินเองก็ได้รับส่วนต่างจากการอุดหนุนอยู่ดี
แต่กรณีการรับจำนำจะไม่ได้ประโยชน์หากไม่นำข้าวไปขาย
ในช่วงโครงการรับจำนำจึงทำให้โรงสีเหล่านี้อยู่ในสภาพแทบจะร้างไปเหมือนกัน
นี่อาจจะต้องเป็นสิ่งที่โครงการรับจำนำข้าวควรพิจารณาทางเลือกเชิง
นโยบาย เช่น
ใช้นโยบายการประกันราคาสำหรับพื้นที่ซึ่งปลูกข้าวไว้กินหรือสีขายในลักษณะ
โรงสีชุมชน
เพราะมิฉะนั้นจะทำให้ข้าวที่สีขายมีส่วนต่างระหว่างการขายข้าวเปลือกกับสี
เป็นข้าวสารขายไม่มากนัก เพราะโรงสีขนาดเล็กมีประสิทธิภาพต่ำ
มีต้นทุนต่อหน่วยสูงอยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่น หากปลูกข้าวหอมปทุมซึ่งรัฐบาลรับจำนำราคาตันละ 16,000
บาท ถ้าสีเป็นข้าวกล้อง (โดยประมาณข้าวเปลือกหนึ่งตันได้ข้าวสารราว 500
ก.ก.) และขายที่ราคา ก.ก.ละ 32 บาท
ราคาก็จะเท่ากับขายข้าวเปลือกโดยยังไม่รวมค่าใช้จ่ายใดๆ เลย แต่หากขาย 40
บาทซึ่งคนกินก็ร้องว่าแพงแล้ว ก็อาจจะไม่ได้กำไรเลย
เพราะมีค่าใช้จ่ายเรื่องการสี
(โรงสีชุมชนส่วนใหญ่รับสีโดยหักเอาข้าวสารไว้ 12% หรือราว 480 บาท)
ค่าบรรจุภัณฑ์อีก
รวมทั้งค่าขนส่งไปยังผู้บริโภคซึ่งมักมีต้นทุนแพงเนื่องจากทำในขนาดการผลิต
ที่น้อย รายได้กลับมาก็มีลักษณะเบี้ยหัวแตก
สุดท้ายแล้วถ้าเป็นชาวนาที่สมเหตุสมผลเขาจะไม่ทำธุรกิจเช่นนี้
เพราะเข็นข้าวเข้าโรงสีคุ้มกว่า ง่ายกว่า
จะมีที่ยังทำอยู่ก็แต่พวกชาวนาดัดจริตหรือกรณีที่มีการสนับสนุนจากองค์กร
ต่างๆ เท่านั้น
กล่าวโดยสรุป
นโยบายประกันราคาส่งเสริมการปลูกข้าวคุณภาพดีอยู่บ้างเล็กน้อย
เรื่องกำหนดเกณฑ์ชนิดข้าวที่ไม่ให้มีอายุสั้นจนเกินไป
และทำให้การปลูกข้าวคุณภาพดีที่เป็นข้าวนาปีและข้าวพันธุ์ดีโดยเฉพาะการปลูก
ข้าวอินทรีย์ที่ผลิตเพื่อบริโภคหรือสีขายได้ประโยชน์จากส่วนต่างเงินอุดหนุน
ทำให้ต้นทุนต่ำลง
แต่ทิศทางหลักของนโยบายทั้งสองมุ่งส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพต่ำเหมือน
กัน หากมุ่งที่จะให้เกิดการส่งเสริมข้าวคุณภาพดีสำหรับการบริโภค
ข้าวอินทรีย์ ฯลฯ
จึงยังต้องการความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในเรื่องระบบตลาดรองรับ
การสนับสนุนเชิงนโยบายอื่นๆ
ที่มากไปกว่าการย้ายจากโครงการรับจำนำมาสู่การประกันราคา ดังจะพิจารณาต่อไป
ทำไมชาวนาจึงชอบจำนำข้าว
ถ้าคิดแบบสามัญสำนึกคำตอบง่ายนิดเดียวคือ
ชาวนาที่ไหนต้องชอบการขายข้าวได้แพง
ข่าวทีวีตอนเช้าเมื่อสองสามวันก่อนรายงานว่า ราคาข้าวเปลือกทั่วไปตันละ
8,500 บาท ส่วนข้าวเปลือกหอมะลิตันละ 13,500 บาท ราคาจำนำเกวียนละ 15,000
บาท และ 20,000 บาทตามลำดับ นั่นหมายความว่า รัฐช่วยอุดหนุนชาวนาเกวียนละ
6,500 บาท
ในขณะที่นโยบายประกันราคาข้าวเปลือกทั่วไปกำหนดไว้เพียง 12,000 บาท
ได้ซึ่งหมายความว่า ชาวนาจะได้ส่วนต่างเพียง 3,500 บาทเท่านั้น คิดง่ายๆ
ว่า เมื่อรัฐบาลรับซื้อข่าวเปลือกในราคาจำนำเช่นในปัจจุบัน
ทำให้ชาวนาขายข้าวได้แพงกว่าเกวียนละ 3,000 บาท เข้าใจง่ายจะตายไป
อาจมีข้อถกเถียงว่า ในการจำนำข้าวนั้นชาวนาได้ไม่เต็ม 15,000
บาทต่อเกวียน โดยเฉพาะการถูกตัดความชื้น คำตอบง่ายนิดเดียวอีกเหมือนกันคือ
การประกันราคาก็ถูกตัดความชื้นเหมือนกัน กรณีประกันราคาที่ 12,000 บาท
หากโรงสีรับซื้อที่ราคา 9,000 บาท จะได้ส่วนต่างที่รัฐบาลอุดหนุน 3,000 บาท
แต่ราคา 9,000 บาท ต้องมีความชื้นปกติที่ 15%
แต่การเกี่ยวด้วยรถเกี่ยวมักมีความชื้นราว 30% จึงถูกหักราว 15 จุดๆ ละ 150
บาท
และการรับจำนำก็ถูกหักในตรรกะเดียวกันเมื่อเป็นดังนี้เงินจึงหายไปเหมือนๆ
กัน
นี่อาจจะต้องรวมการหักราคาเรื่องสิ่งเจือปนอีก
เพราะข้าวที่เกี่ยวโดยรถเกี่ยวและเข้าโรงสีเลยมักจะมีสิ่งเจือปนสูง
และไม่มีชาวนาที่ไหนดัดจริตเอาข้าวมาตากและทำความสะอาดด้วยสีฝัดหรือสีโบก
เหมือนยุคโบร่ำโบราณ เพราะเพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มกัน (กล่าวคือ
ต้องมีลานตาก ยุ้งฉางเก็บ ฯลฯ
แต่กรณีเช่นนี้ยังพบในภาคอีสานและภาคเหนืออยู่พอสมควร)
แต่ก็ตรรกะเดียวกันคือ ทั้งจำนำหรือประกันก็ถูกหักเหมือนกัน
นอกจากนี้
การประกันราคาภายใต้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ยังคิดผลผลิตที่ไม่ค่อยเป็นจริง เช่น
ในภาคกลางคิดให้เพียงราวไร่ละราว 75 ถัง ทั้งๆ
ที่ชาวนามักปลูกข้าวได้ไร่ละ 100 ถัง
(เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาชาวนาอินทรีย์ดัดจริตแบบผมเองขนาดเกี่ยวข้าวเขียวๆ
สดๆ หนีพายุแกมีทำให้ได้ข้าวแบบไม่เต็มเต็มหน่วย
แต่ยังได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละราว 80 ถัง)
เมื่อรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ประกาศรับจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ดจะมีใครไม่ชอบบ้าง
เมื่อเป็นดังนี้
สำหรับกลุ่มชาวนาที่ขายข้าวจึงชอบนโยบายจำนำข้าวของคุณยิ่งลักษณ์
จะมีชาวนาบ้าที่ไหนไม่ชอบการขายข้าวได้ราแพงและออกมาร้องเรียนรัฐบาลว่า
นโยบายรับจำนำให้เงินอุดหนุนชาวนามากเกินไปเดี๋ยวประเทศชาติจะล่มจม
เป็นการทำลายกลไกตลาด ทำลายประสิทธิภาพในการผลิตข้าว ฯลฯ
(เช่นเดียวกับที่เราก็ไม่เคยเห็นเจ้าของธุรกิจรถยนต์ออกมาบอกว่า
อย่าลดภาษีรถยนต์เลย
เดี๋ยวจะทำให้มีคนมาซื้อรถใหม่กันมากแล้วธุรกิจของเขาจะรวยไม่หยุด)
แต่อย่างไรก็ดี
เมื่อคุยกับชาวนาหลายรายเขาเห็นว่าหากนโยบายการประกันราคาข้าวของประชา
ธิปัตย์ยกระดับราคาให้สูงเท่ากับหรือมากกว่า 15,000 บาท
ก็เชื่อได้ว่าชาวนาจะแห่มาชอบด้วยสามัญสำนึกอีกเช่นกัน
เพราะเขาก็รู้ว่าการรับจำนำข้าวเปิดโอกาสให้เกิดการโกงได้มากหลายทาง ใครๆ
ก็เห็นได้ว่า
การประกันรายได้รั่วไหลน้อยกว่าแต่ชาวนาได้น้อยกว่าถ้าเพดานยังอยู่ที่
12,000 บาท (รวมทั้งการผลผลิตเพียง 75 ถังต่อไร่ดังกล่าว)
ดังนั้น
หากประชาธิปัตย์และฝ่ายที่คัดค้านนโยบายจำนำข้าวจะสามารถชักจูงชาวนาให้ไม่
ชอบ ก็มีเพียงสองทางเลือกคือ
ด้านหนึ่งทำให้นโยบายนี้เป็นเรื่องถาวรและยกระดับการต่อสู้ด้วยเพดานการอุด
หนุนให้สูงกว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์
หรืออีกด้านหนึ่งคือ พูดเหตุผลให้ชาวนาเห็นว่าการอุดหนุนราวเกวียนละ
6,500 บาท มันมากเกินไปและจะทำให้ชาวนารวยมากเกินไป
แต่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา (หรือแม้แต่ในบทความของ
อ.อัมมาร/นิพนธ์) ฝ่ายค้านก็ไม่กล้าที่จะหยิบยกประเด็นว่าการตั้งราคาที่
15,000 บาทไม่สมเหตุสมผล
ไม่เหมือนการประกันรายได้ที่มีการคำนวณเอาไว้อย่างดีว่าให้กำไรชาวนาพอลืมตา
อ้าปากได้แล้ว
เราจึงเห็นแต่ประเด็นอภิปรายมุ่งไปยังปัญหาการได้ส่วนแบ่งของโรงสี
ชาวนาระดับกลาง-รวย และ การทุจริตในกระบวนการการค้าข้าวของรัฐบาล
และเลือกกล่าวแต่เพียงว่า
หากใช้เงินมากเกินไปเราจะไม่มีใช้ในโครงการสวัสดิการ สังคมต่างๆ
ถึงวันนี้น่าจะเป็นเรื่องดีเมื่อนโยบายการอุดหนุนชาวนาเป็นสิ่งที่ลง
รากปักฐานในสังคมแล้ว
ที่เหลือจึงเป็นการถกเถียงในกรอบว่าจะช่วยอุดหนุนชาวนาเท่าไร-อย่างไร
ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองที่แข่งขันเชิงนโยบายที่จะต้องตอบคำถามกับ
สังคมว่าจะเอาเงินมาจากไหนและบริหารจัดการอย่างไร
ถ้าจะบริหารจัดการด้วยการดัดจริตเป็นแม่ค้าข้าวเสียเองแล้วเจ๊งก็ต้องรับผิด
ชอบ
ส่วนพรรคการเมืองไหนที่คิดว่า นโยบายของตน (เช่น การประกันรายได้)
สมเหตุสมผลกว่าก็ไม่ต้องอมพะนำ ว่ากันออกมาให้ชาวนาได้ฟังกันตรงๆ
เลยว่าดีกว่าอย่างไร
ในเมื่อชาวนาได้ประโยชน์จากรายได้ที่น้อยกว่าถึงราวเกวียนละ 3,000 บาท
ถ้าอยากจะซื้อใจชาวนาหรือสร้างความนิยมก็ขอให้กล้าๆ กันหน่อย
การปรับเชิงนโยบาย
เราจะปรับทางเลือกเชิงนโยบายได้อย่างไร อาจมีหลายคำถาม
บางคำถามเป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่มีความรู้ก็ขอให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตอบ เช่น
ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการข้าวค้างสต็อกและการขายข้าวที่รับซื้อราคาแพงมา
เก็บไว้ ที่ผ่านมา เราไม่เห็นรัฐบาลจะตอบคำถามได้ชัดเจนว่า
ขายให้ใครได้เท่าใดและที่สำคัญคือ ในราคาเท่าไรด้วย
เรื่องแบบนี้ก็เดาได้ว่าถ้าขายได้มากแล้วได้กำไรรัฐบาลที่ไหนก็คงรีบเอาตัว
เลขมาเปิดเผย
ประการแรก รัฐบาลควรเข้าไปดูแลกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายจำนำ
กลุ่มแรกคือ บรรดาโรงสีชุมชนทั้งหลาย
โดยเฉพาะที่มุ่งผลิตข้าวอินทรีย์/ปลอดสาร หรือข้าวที่มีคุณภาพดี
โรงสีชุมชนหลายแห่งที่สามารถพัฒนาตลาดเชื่อมโยงกับผู้บริโภคและตลาดต่าง
ประเทศในระบบการค้าที่เป็นธรรม
แต่กำลังจะล้มละลายเพราะชาวนาเข็นข้าวเข้าโครงการรับจำนำหมด
ดังกลุ่มสหกรณ์เกษตรอินทรีย์กองทุนข้าวจังหวัดสุรินทร์ที่มีการเชื่อม
โยงไปสู่ตลาดในยุโรปประสบปัญหามากเพราะเมื่อช่วงก่อนนโยบายจำนำการรับซื้อ
ข้าวหอมมะลิอินทรีย์จากชาวบ้านได้ในราคา 20 บาท
ขณะที่ข้าวเปลือกในตลาดราคาเพียง ก.ก.ละ 16 บาท
ช่วงนโยบายจำนำทำให้ต้องซื้อข้าวจากชาวบ้านในราคาที่สูงแต่ก็ทำได้เพียง
ก.ก.ละ 21.50 บาท เพราะยิ่งซื้อแพงสีข้าวไปขายก็ไม่คุ้ม
ผู้บริโภคต่างประเทศก็สามารถหันไปหาตลาดที่อื่น
ทางออกจึงควรจะมีนโยบายที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนกลุ่มชาวนาที่รักษา
หรือหันมาปลูกข้าวคุณภาพดีและเชื่อมโยงกับโรงสีชุมชนและตลาดข้าวทางเลือก
กล่าวคือ
อาจจะเป็นการอุดหนุนเงินส่วนต่างโดยใช้นโยบายประกันราคาแต่เพิ่มเพดานเงิน
ให้สูงเท่ากับการรับจำนำคือ 15,000 บาท
หรือถ้าแสลงหัวใจไม่อยากเรียกประกันรายได้ก็อาจเรียกเงินอุดหนุนก็ได้
เพราะจะเรียกอย่างไรก็คือเงินที่รัฐเข้าไปอุดหนุนเหมือนกัน
และเป็นการอุดหนุนที่ไม่ต้องรับผิดชอบเป็นแม่ค้าเอาข้าวไปหาที่ขายเองอีก
ด้วย
ยิ่งถ้าเป็นการผลิตข้าวอินทรีย์ก็ยิ่งควรสนับสนุนให้มากขึ้นด้วย
เพื่อเป็นแรงจูงใจในการปรับระบบการผลิต แต่สิ่งที่เป็นอยู่ก็คือ
ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ภายใต้นโยบายทั้งจำนำและประกันรายได้
ก็ปล่อยให้ธุรกิจข้าวสารเพื่อการบริโภคถูกผูกขาดโดยบริษัทค้าข้าวถุงไม่กี่
แห่งเท่านั้น ไม่มีรัฐบาลไหนๆ
สนใจส่งเสริมข้าวคุณภาพดีดังกล่าวนี้เหมือนกัน
ประการที่สอง
ถ้าเห็นว่าประเด็นเรื่องการปลูกข้าวหรือเก็บข้าวไว้กินเป็นเรื่องใหญ่ก็น่า
จะมีนโยบายอุดหนุนเฉพาะลงไปอีกเช่นนี้
ซึ่งนี่อาจจะเป็นการผสมผสานด้านดีของนโยบายประกันรายได้ของรัฐบาลประชาธิปัต
ย์เข้ามา ชาวนารายเล็กๆ จะได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ประการที่สาม
รัฐบาลอาจพิจารณาจำกัดการช่วยเหลือชาวนารวยโดยมุ่งให้ชาวนารายเล็กก็ได้
แต่ต้องดูจากสภาพความเป็นจริงดังที่ได้พิจารณามาแล้ว
ผู้คนคงจะเห็นร่วมกันว่า
เจ้าที่ดินรายใหญ่ไม่ควรได้รับประโยชน์จากนโยบายอุดหนุน
ส่วนเกณฑ์ชาวรวยจะเป็นแค้ไหน อย่างไรก็ว่ากันในรายละเอียดต่อไป
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1071 และฉบับที่ 1072
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น