แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

รายงาน: พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา วีระ-ราตรี และราษฎรอื่นๆ

ที่มา ประชาไท


พูดคุยกับอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองฯ ของคณะกรรมการสิทธิฯ ถึงเรื่องราวสภาพในเรือนจำของวีระ สมความคิด และปัญหาทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีประชาชนของทั้งสองประเทศเป็นเหยื่อของความรุนแรงอย่างเงียบๆ และถูกละเลย

วันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ น่าจะมีข่าวดีเกี่ยวกับการปล่อยตัวนางราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่ได้รับอภัยโทษและเดินทางออกจากเรือนจำเปรยซอว์ กรุงพนมเปญ แม้ว่ายังเหลือนายวีระ สมความคิด อีกคนหนึ่งที่ติดค้างที่นั่น
ทั้งสองถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวเมื่อวันที่ 21 ส.ค.53 พร้อมกับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ คนสนิทของอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมถึงคนอื่นๆ ในทีม ขณะเดินทางไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.โนนสูง จ.สระแก้ว เพื่อเข้าไปตรวจสอบเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาอันเนื่องมา จากกรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ซึ่งนายวีระเคยนำทีมไปอ่านแถลงการณ์ทวงคืนพื้นที่ทับซ้อนปราสาทพระวิหารจนมี เหตุปะทะกับชาวบ้านในพื้นที่ก่อนหน้านี้ หลังการจับกุมรัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามประสานขอตัวคนกลุ่มนี้กลับแต่ไม่ได้รับ การตอบรับ ต่อมาหลังศาลกัมพูชาตัดสินโทษ คนส่วนใหญ่ได้กลับประเทศ เว้นแต่นายวีระเเละนางราตรี โดยในวันที่ 1 ก.พ.2554 ศาลกัมพูชาพิพากษาให้ทั้งสองมีความผิด 3 ข้อหา คือ รุกล้ำชายแดน เข้าไปในเขตทหาร และโจรกรรมข้อมูลทางทหาร ตัดสินจำคุกนายวีระ 8 ปี ปรับ 1 ล้าน 8 แสนเรียล และตัดสินจำคุกนางราตรี 6 ปีปรับ 1 ล้าน 2 แสนเรียล
เรื่องราวผ่านมากว่า 2 ปี ล่าสุด นายสุวัฒน์ แก้วสุข จากกองคุ้มครองดูแลผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล แจ้งความคืบหน้าให้กับอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง คณะกรรมการสิทธิฯ ซึ่งมีหมอนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธาน ว่า  กัมพูชามีการอภัยโทษให้กับนักโทษต่างชาติและกัมพูชาราว 500 คน เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอดีตกษัตริย์นโรดม สีหนุ ซึ่งจะเริ่มในวันศุกร์ (1 ก.พ.) นี้ ในจำนวนนี้มีคนไทยอยู่ด้วย 5 คน รวมวีระและราตรี (จากจำนวนนักโทษชาวไทย 37 คนในกัมพูชาซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด) นางราตรีได้ปล่อยตัวทันทีส่วนนายวีระนั้นได้รับการลดโทษ 6 เดือน แต่ก็มีสัญญาณที่ดีว่าน่าจะนำไปสู่การอภัยโทษในอนาคต ทั้งนี้ เพราะตามหลักเกณฑ์ของกัมพูชา นักโทษจะได้รับอภัยโทษได้เมื่อได้รับโทษครบ 2  ใน 3 แล้ว
นอกจากนี้ยังอาจมีการหารือเรื่องการโอนตัวนักโทษ ซึ่งตามเกณฑ์ของกัมพูชาแล้วต้องรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 ซึ่งสำหรับนายวีระนั้นจะได้รับโทษครบ 1 ใน 3 ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ สำหรับขั้นตอนการโอนตัวนั้น จะมีคณะกรรมการร่วมจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กรมการกงสุล และกรมราชทัณฑ์ ซึ่งในเบื้องต้นคณะกรรมการได้พิจารณาเรื่องของนายวีระไว้แล้ว หากครบกำหนดโทษตามหลักเกณฑ์และมีการส่งเรื่องเข้าคณะกรรมการเมื่อใดก็สามารถ ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วทันที เรียกได้ว่า ขออภัยโทษ กับขอโอนตัว ทำสิ่งไหนได้แต่ก่อนก็จะทำทันที
นพ.นิรันดร์ ซึ่งเป็นประธานอนุกรรมการฯ ที่ติดตามเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชา เคยเดินทางไปเยี่ยมนายวีระและนางราตรีที่เรือนจำในกัมพูชาเมื่อปลายปีที่ แล้ว ให้สัมภาษณ์ว่า การจับกุมคุมขังครั้งนี้เป็นประเด็นทางการเมือง โดยที่วีระ ราตรีไม่ได้เป็นสายลับจารกรรมข้อมูลดังที่ถูกกล่าวหา เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ทำงานกับวีระในเรื่องการต่อต้านการคอรัปชั่นมา ยาวนาน ประกอบกับวีระเองก็เป็นอนุกรรมการฯ ที่นพ.นิรันดร์เป็นประธาน ทำให้ยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา และพยายามต่อสู้เรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อนตามชายแดนตามแนวทางที่เชื่อ เพราะเรื่องนี้กระทบสิทธิของชุมชนและประชาชนด้วย
ประธานอนุกรรมการฯ กล่าวด้วยว่า อนุกรรมการฯ ชุดนี้ไม่ได้เพียงแต่ดูเรื่องคุณวีระ ราตรี แต่ได้รับเรื่องร้องเรียนของประชาชนไม่น้อยในเรื่องเขตแดนที่ไม่ชัดเจน มีคนไทยถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไปอยู่ในเรือนจำที่เสียมเรียบบ้าง พนมเปญบ้าง และขณะเดียวกันก็มีพี่น้องกัมพูชาที่อยู่ชายแดนถูกทำร้ายโดยทหารของฝ่ายไทย โดยทางอนุฯ ได้เข้าไปตรวจสอบแล้วในหลายกรณี
“อยากให้เห็นว่านอกจากประเด็นชาตินิยมที่ต่างกัน ในเรื่องปราสาทพระวิหารแล้ว เรื่องเขตแดนที่ไม่ชัดเจนมันก็กระทบกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วย เช่น พี่น้องประชาชนมาร้องว่า ไม่มีที่ดินทำกิน เพราะที่ดินตรงนั้นถูกประกาศให้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติไป และประกาศกฎอัยการศึกไม่ให้คนไทยเข้าไปทำมาหากิน ทั้งๆที่เขาทำมาหากินมานาน แต่ตรงข้ามรัฐบาลกัมพูชาให้ชาวกัมพูชามาหากินได้ สร้างบ้านเรือนได้ มันเป็นนโยบายที่แตกต่างกัน”นิรันดร์กล่าว
เมื่อถามถึงสภาพการถูกคุมขังที่เรือนจำในกัมพูชา นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ในการไปเยี่ยมนั้นได้คุยกับวีระนานร่วมชั่วโมง ทั้งนายวีระ และนางราตรี อยู่ในห้องขังแยกกัน สำหรับสุขภาพของวีระนั้นดีขึ้น เนื่องจากมีโรคประจำตัวคือ โรคภูมิแพ้ โรคไขข้ออักเสบ แต่ระยะหลังมีคณะแพทย์จากประเทศไทยไปดูอาการและให้ยาเป็นระยะ
สำหรับการอยู่ในเรือนจำมีสภาพต่างกัน นพ.นิรันดร์เล่าว่า วีระถูกควบคุมมากกว่า ถูกจำกัดไม่ให้มีหนังสืออ่าน เขียนเอกสารใดๆ ไม่ได้ ไปไหนมาไหนจะมีผู้คุมเดินประกบตลอด อยู่ห้องขังเดี่ยว เพราะเขาถือว่าเป็นสปายสายลับ ซึ่งตรงข้ามกับราตรีที่ยังส่งหนังสือให้อ่านได้ ระยะหลังจึงผ่อนคลายพอสมควร
นพ.นิรันดร์กล่าวด้วยว่า “จุดที่วีระไปแล้วถูกจับเป็นจุดที่วีระเคยไปมาหลายครั้งแล้ว วีระยืนยันว่าจุดที่ไปอยู่ฝั่งไทย เพราะมีโอกาสพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่นั้นมาก่อน ไปเห็นหมุดเขตแดนชัดเจน เขาเชื่อมั่นตรงนั้นอยู่ในฝั่งไทย เพียงแต่มันมีนโยบายจัดการชายแดนที่ต่างกันระหว่างไทยกับกัมพูชา นอกจากนี้การจัดการเขตแดนของไทยกับกัมพูชามีปัญหามาตลอด ไม่สามารถเคลียร์ได้ แต่วีระเขามั่นใจว่าเขตนั้นอยู่ในเขตไทย ที่ไปแล้วถูกจับในครั้งหลังเพราะได้รับการติดต่อจากส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ให้ช่วยพาไป จริงๆ คุณวีระไม่ได้อยากไป โปรแกรมคุณวีระวันนั้นจะพาคุณแม่ไปพักผ่อน เพราะใกล้ปีใหม่ด้วยซ้ำไป” นิรันดร์กล่าว
นพ.นิรันดร์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ประเด็นที่ถูกจับเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าไทยหรือกัมพูชา และการที่เขาถูกจับ นักการเมืองกัมพูชาก็ได้ประโยชน์ในการปลุกกระแสชาตินิยมในประเทศของเขา การที่สามารถที่จะดำเนินการทำให้มีการลดหย่อนโทษวีระและปล่อยราตรี แสดงให้เห็นว่าการเมืองของความตึงเครียดที่มองกันเป็นศัตรูนั้นลดลง และเป็นข้อพิสูจน์ว่าความขัดแย้งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องแก้ไขปัญหา ด้วยการเจรจาไม่ใช่ใช้ความรุนแรง หรือการรบ วิธีการเหล่านี้ไม่ได้เกิดประโยชน์
ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชานั้นไม่ได้มีเฉพาะกรณีของวีระ-ราตรี แต่ยังมีกรณีชาวบ้านอุบลราชธานีถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวไปด้วย อย่างที่กล่าวไปว่าการอภัยโทษครั้งนี้มีคนไทยรายอื่นรวมอยู่ด้วย คือ นายทองแดง ยะลา อายุ 51 ปี และนายพิณ นาอ่อน อายุ 46 ปี ชาวบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีอาชีพหาของป่า และเป็นพรานล่าสัตว์ ถูกทหารกัมพูชาจับตัวบริเวณช่องอานม้าเมื่อวันที่ 31 พ.ค.53 เนื่องจากเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน โดยพวกเขาถูกจำคุกอยู่ที่เสียมเรียบ
นายทองแดง  และนายพิณ  ถูกทหารกัมพูชาจับในข้อหา เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และข้อหาครอบครองและมีไว้ซึ่งอาวุธปืน(ปืนแก๊ปและกระสุนกว่า 500 นัด) ศาลลงโทษให้จำคุก 5 ปี ในระดับพื้นที่โดยปกติเจ้าหน้าที่จะใช้วิธีการเจรจา แต่เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ไม่ค่อยจะดีนักจึงไม่ประสบผล  เมื่อญาติทราบข่าวการถูกจับกุมได้ไปร้องเรียนในหลายหน่วยงานแต่ไม่ได้รับ ความสนใจ ไม่ว่ากระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม ทำเนียบรัฐบาล จนสุดท้ายได้ร้องเรียนมายังอนุกรรมการสิทธิพลเมืองฯ ซึ่งอนุกรรมการได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องขังทั้งสองที่กัมพูชาและประสาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือเท่าที่จะเป็นไปได้ในที่สุด
นอกจากนี้ยังมีการร้องเรียนกรณีชาวบ้านอุบลราชธานีถูกทหารพรานของไทยเอง ยิง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554 นายไชยา สายสิม อายุ 39 ปี พร้อมลูกชายเดินทางกลับจากการหาของป่า ช่วงเวลาประมาณ 20.00น. ทั้งสองขับรถไถนาแบบเดินตามที่เก็บท่อนไม้ยาวประมาณ 1 เมตรจำนวน 4 ท่อนกลับมาด้วย เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณไร่มัน เจ้าหน้าที่ส่องไฟใส่ แล้วยิงบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง นายไชยาฯ เข้าไปหลบอยู่ในไร่มัน ส่วนลูกชายได้วิ่งหนีไปก่อนหน้านั้น ทหารพรานที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งหมดประมาณ 6 – 7 นาย ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่จากอุทยานเขาพระวิหารมายึดรถไถนาเดินตามของนายไชยาฯ
ภายหลังการพักรักษาตัวราว 1 สัปดาห์ มีการได้ติดต่อให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานผู้ก่อเหตุมาเจรจากันที่โรงพัก แม้จะไม่มีการแจ้งความ อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดทหารได้ยอมจ่ายค่าเสียหายให้กับนายไชยา
ไม่เฉพาะราษฎรไทยที่ประสบปัญหาในพื้นที่ทับซ้อนเหล่านี้ ราษฎรกัมพูชาเองก็ประสบภัยคุกคามจากความไม่ชัดเจนของเขตแดนเช่นเดียวกัน โดยปลายปีที่แล้ว นักวิชาการกลุ่มหนึ่งและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนได้ร้องเรียนมายังคณะ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหารไทย กรณีการสังหารประชาชนชาวกัมพูชานอกกระบวนการยุติธรรม (Extra-judicial executions) ตามบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในปี พ.ศ. 2551 – 2554  ซึ่งตามข้อมูลที่ได้รับจากสมาคมสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งกัมพูชา (Cambodia Human Rights and Development Association) และศูนย์สิทธิมนุษยชนแห่งกัมพูชา (Cambodia Center for Human Rights) ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนแนวหน้าในประเทศกัมพูชานั้นได้อ้างถึงเหตุการณ์ หลายกรณีในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ. 2551 – 2554 ที่เกี่ยวข้องกับกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนกัมพูชาตามบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชาโดยทหารไทย โดยอ้างว่าในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาทหารไทยได้มีการสังหารประชาชนกัมพูชาไปกว่า 20 คน อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามเอ็นจีโอที่ติดตามเรื่องนี้พบว่า ไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบทั้งในฝั่งไทยและกัมพูชา
เป็นที่แน่ชัดว่า สถานการณ์ทางการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นนั้นทำให้การเผชิญ หน้า ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในจุดต่างๆ ลดน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่เรากำลังเตรียมพร้อมอย่างหนักในการแถลงต่อศาลโลกในคดีพื้นที่ทับซ้อน ปราสาทพระวิหาร เราอาจต้องหันมาตรวจสอบและแก้ปัญหาการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนตามแนวชาย แดนจุดอื่นๆ ด้วย เพื่อไม่ให้ราษฎรของทั้งสองประเทศต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงโดยไม่มีใคร แยแสอีกต่อไป

ที่ปรึกษาอัคคีภัยเซ็นทรัลฯ ยันจำเลยคดีเผา CTW ไม่สามารถวางเพลิงได้

ที่มา ประชาไท


นัดพิพากษาคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์25 มี.ค.นี้ สืบพยานครั้งสุดท้าย ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัลเบิกความไฟไหม้เพราะกองกำลังแต่งกายคล้าย ทหาร ตำรวจยังไม่กล้ายุ่ง เผยช่วงเพลิงไหม้ทหารคุมพื้นที่ทั้งหมด9 ผู้ถูกจับกุมในที่เกิดเหตุไม่มีความสามารถวางเพลิง ด้านนายจ้าง “สายชล” ยันวันเกิดเหตุขายของที่ห้างอิมฯลาดพร้าว
เมื่อวันที่ 28 ม.ค.56 เวลา 13.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ห้องพิจารณาคดี 405 มีการสืบพยานจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 2478/2553 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ4  เป็นโจทก์ฟ้องนายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 อายุ 28 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้างและนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 อายุ 26 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้างในความผิดร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่ เก็บสินค้าจนเป็นเหตุให้นายกิตติพงษ์ สมสุขซึ่ง อยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเหตุเกิดที่ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยคดีนี้เป็นคดีเดียวกันกับกรณีผู้ต้องหา2 คนที่เป็นเยาวชนซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้พิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.55
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการสืบพยานจำเลย 2 ปากสุดท้าย คือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อายุ 61 ปี แกนนำนปช.จังหวัดชุมพร ปัจจุบันเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นนายจ้างนายสายชลจำเลยที่ 1 ที่จ้างให้ขายของที่ร้าน ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวและพ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร อายุ 72 ปี พนักงานราชการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย,เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่ง ประเทศไทยและที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนามากว่า 20 ปีในฐานะผู้ควบคุมการดับเพลิงในเซ็นทรัลเวิลด์

แกนนำ นปช.นายจ้าง “สายชล” ยันอยู่อิมฯ ลาดพร้าววันเกิดเหตุ
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ เบิกความว่าเกี่ยวข้องกับการ ชุมนุมของกลุ่มนปช.ในปี 53 นั้นทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ ความสงบเรียบร้อย ประสานงานมวลชนเสื้อแดงกับเวทีปราศรัย โดยรู้จักกับสายชล จำเลยที่ 1 จากการที่ตนเองมาปราศรัยที่สนามหลวงหลังเหตุการณ์การรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เป็นต้นมา โดยขณะนั้นตนสังกัดอยู่กลุ่มอิสระ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลขณะนั้นจัดให้มีการเลือกตั้ง นายสายชลขณะนั้นใช้สนามหลวงเป็นที่พักและมีอาชีพรับจ้าทั่วไป
เขาเบิกความต่อว่าได้เปิดร้านค้าที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวชั้น 4 เพื่อขายของกิน ของที่ระลึกของคนเสื้อแดง รวมทั้ง VCD เผยแพร่ประชาธิปไตยซึ่งเป็นเทปบันทึกการปราศรัยของแกนนำแต่ละคน และเห็นว่านายสายชล มีพฤติกรรมดี ซื่อสัตย์ จึงได้จ้างวันละ 300 บาท เพื่อมาขายของที่ร้านพร้อมยืนยันว่าในช่วงปิดล้อมการชุมนุม วันที่ 12-19 พ.ค.53พยานได้ฝากร้านค้าที่ห้างอิมฯ ลาดพร้าว ให้นายสายชลดูแล
ภาพซ้าย : ภาพที่ รปภ.ห้างเซ็นทรัลเวิลด์  มอบให้พนักงานสอบสวนและถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ เชื่อว่าภาพชายชุดดำดังกล่าวคือจำเลยที่ 1 ในที่เกิดเหตุ
ภาพขวา : นายสายชล จำเลยที่ 1 ขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.53 ภาพจากเว็บไซต์มติชน
ทนายจำเลยที่ 1 ได้นำภาพที่ใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมและดำเนินคดีกับนายสายชล จำเลยที่ 1 (ดูภาพซ้ายประกอบ)ให้ พ.ต.ต.เสงี่ยม พิจารณาดูว่าเป็นนายสายชลหรือไม่นั้น พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าไม่ใช่ หลังจากนั้นทนายได้นำภาพที่นายสายชลขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.53 (ดูภาพขวาประกอบ) พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าคนในภาพนี่คือนายสายชล
พ.ต.ต.เสงี่ยม ยังได้เบิกความต่อศาลถึงความเห็นที่มีการจับกุมตัวนายสายชลด้วยว่าหลังสลาย การชุมนุม 19 พ.ค.53 นั้น ตนเองถูกผู้มีอำนาจผ่าน DSI ขอหมายจับข้อหาก่อการร้าย แต่ทราบว่าศาลไม่ได้ดำเนินการ อย่างไรก็ตามตนเองได้หลบไปต่างประเทศช่วงนั้นจึงคิดว่าในช่วงนั้นรัฐบาล พยายามที่จะตามหาตัวตนเอง การที่นายสายชลถูกจับนั้นก็อาจเป็นเพราะมีความใกล้ชิดกับตนเอง
พ.ต.ต.เสงี่ยม เบิกความต่อด้วยว่าจากประสบการณ์การเป็นตำรวจ คนเร่ร่อนหรือคนที่ที่อยู่สนามหลวง บางครั้งสายสืบก็จะใช้หรือจ้างหรือบังคับให้คนเหล่าเป็นสายสืบหาตัวผู้กระทำ ความผิดกฎหมายต่างๆ ซึ่งหากไม่ทำก็อาจมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ สำหรับนายสายชลนั้นทราบว่าเคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและเทศกิจ เช่น การไล่ร้าน แต่ตอนมาทำงานกับพยานที่ห้างอิมฯ ลาดพร้าว นั้นไม่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่

ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความโยง “ชายชุดคล้ายทหาร”
พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยและที่ปรึกษาด้าน อัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเบิกความว่า ช่วง 2เดือนที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ของ นปช. นั้นได้วางแผนป้องกันความปลอดภัยและอัคคีภัยให้กับห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยในเซ็นทรัลเวิลด์มีทีมดับเพลิงมืออาชีพที่เป็นพนักงานประจำอยู่ถึง 25 คน ดังนั้นจากประสบการณ์แล้วเห็นว่าห้างนี้มีระบบรองรับทุกอย่าง หากเกิดไฟไหม้เล็กๆ พนักงานหรือแม่บ้านก็สามารถดับได้ แต่หากเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ก็จะมีพนักงานดับเพลิงมืออาชีพคอยป้องกันอยู่ ถือได้ว่ามีระบบการป้องกันอัคคีภัยเป็นหนึ่งในเอเชียก็ว่าได้ และได้มาตรฐานระดับสากล
ทนายจำเลยที่ 1 ได้ยกข้อความของพ.ต.ท.ชุมพล ที่เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โลกวันนี้  หน้า 11 อ่านให้พ.ต.ท.ชุมพล ฟังเนื้อหาระบุว่า
"ตลอดเวลา2เดือนเต็มๆเราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมนุมมา เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักกันทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ขอบอกว่าไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารก็ไม่กล้าแตะ ถ้าแตะมันก็ต้องมีศพกันบ้างหละ แต่นี่ไม่ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่างแต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้"
หลังจากนั้น พ.ต.ท.ชุมพล ได้ยืนยันต่อศาลว่าตนเองเป็นผู้พูดเช่นนั้น โดยหลังการสลายการชุมนุมได้มีคนมาสัมภาษณ์และนำไปลงในหนังสือ “คนช่วยคน” ของสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย ที่ตนเองเป็นเลขาธิการอยู่ และคาดว่าหนังสือความลับหลังฉากฯ ได้นำไปเผยแพร่ต่อ
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัลเบิกความต่อด้วยว่า ในห้างมีสปริงเกอร์ทุกๆ 3 เมตร แต่เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้นอยู่นอกเหนือจากความสามารถของพนักงานดับเพลิง เพราะไม่สามารถดับเพลิงได้ พนักงานดับเพลิงปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในตอนต้นที่มีคนกลุ่มแรกเข้ามา รปภ. ที่มีกว่า180 คนก็สามารถผลักดันออกไปได้ แต่เมื่อมีคนกลุ่มที่ 2 เข้ามาอีก รปภ. ได้แจ้งว่ามีการปาระเบิดเข้าใส่พนักงานจนทำให้มีคนบาดเจ็บ จึงได้มีการร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา เมื่อตำรวจเข้ามาในห้างประมาณ 25 คน ได้มีการจับกุมคนที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในห้าง ก่อนที่จะถอนกำลังออกไปเมื่อพบผู้บุกรุกชุดที่สองซึ่งมีอาวุธอยู่ด้านหน้า ของห้าง
เขาขยายความต่อว่า ชุดแรกที่เข้ามานั้นมีประมาณ 14 คน เข้ามาจาก2 ด้านคือด้านถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเซน (ZEN) ในเวลาประมาณเกือบ 14.00 น. โดยทุบกระจกเข้ามาในห้าง แต่ รปภ. ที่มีจำนวนถึง 180 คนก็ได้ไล่คนเหล่านั้นออกไปต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. จากการตรวจสอบกล้อง CCTV เห็นว่ามีกลุ่มคนชุดที่สอง ประมาณ 7-8 คน แต่งกายคล้ายทหารและมีอาวุธด้วยเข้ามาทางด้านห้างเซ็นทรัลเวิลด์รปภ. พยายามต้านทานไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาแต่กลับถูกปาระเบิดใส่ ตำรวจในเครื่องแบบเข้ามาช่วยก็ยังต้องถอนกำลังออกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายได้นำภาพผู้ถูกจับกุม 9 คนซึ่งถูกตำรวจจับกุมตัวในห้างฯ โดยนำมาจากหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 27 ซึ่ง 1 ในนั้นมีจำเลยที่ 2 (พินิจ) รวมอยู่ด้วยให้ พ.ต.ท.ชุมพล จากนั้น พ.ต.ท.ชุมพล ได้ยืนยันต่อศาลว่า 9 คนนี้เป็นพวกที่หลบอยู่ในห้างไม่มีอาวุธและไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอาวุธดังกล่าว โดยเขาได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ.ที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย
ภาพ 9 คนที่ถูกตำรวจจับกุมตัวในห้างฯจากหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 27
พ.ต.ท.ชุมพล  เบิกความต่อว่า หลังจากที่ตำรวจทั้ง 25 คน ถอนกำลังออกจากห้างไปทำให้ รปภ.และพนักงานดับเพลิงเสียขวัญกำลังใจ จึงได้ไปรวมตัวที่จุดรวมพลตรงลานจอดรถใกล้โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เพื่อให้ฝ่ายบริหารห้างตัดสินใจ เนื่องจากพนักงานเหล่านั้นไม่มีหลักประกันความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจออกจากห้างทั้งหมดในเวลาประมาณ 16.40 น.
เขากล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. เศษ ทางสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยได้รับการขอร้องจากเซ็นทรัล เวิลด์อีกให้เข้าไปช่วยดับไฟแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ทหาร กว่าจะได้เข้าไปถึงพื้นที่ได้ก็เวลาประมาณ 22.00 น. และจากการตรวจสอบ CCTV จากห้างเกษรพลาซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์นั้นพบว่าเวลา ประมาณ 21.00 น. กว่าๆ ตึกก็ได้ถล่มลงมาแล้ว และพื้นที่รอบๆ นั้นถูกควบคุมโดยกองกำลังของทหารทั้งหมด แม้กระทั่งตอนออกจากห้างในช่วงเย็นทางด้านหลังห้างพารากอนก็มีทหารควบคุม พื้นที่อยู่ รถพยาบาลหรือ รปภ. วิ่งออกมาจากพื้นที่ก็ยังต้องผ่านด่านทหาร
ทนายได้ถามด้วยว่าหลังสลายการชุมนุมของ นปช. บริเวณห้างและรอบๆ นั้น จากที่พยานได้รับรายงานและประสานงานนั้นเป็นหน่วยไหนที่ควบคุมพื้นที่ พ.ต.ท.ชุมพล  เบิกความว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารของ ศอฉ.
“ทีมงานเราอยู่ภายในถ้าไม่ไล่เราออกไป มันเรื่องเล็กสำหรับไฟขนาดนั้น ในอาคารมีอุปกรณ์พร้อม น้ำในห้างก็มีจำนวนมหาศาลทั้ง 3 อาคารเชื่อมต่อกัน ระบบแรงดันน้ำภายในห้างก็ใช้ได้ ถ้าไม่ไล่เราออกไม่มีทางจะไหม้ ส่วนคนที่ไล่เราออกไปนั้นคือกลุ่มคนที่มีอาวุธ มีการโยนระเบิด ขนาดตำรวจยังต้องหนี” ที่ปรึกษาฯ กล่าว
เขาเบิกความต่อว่า เมื่อออกไปแล้วก็กลับเข้ามายากมากเพราะต้องติดด่านที่ทหารตั้งอยู่ ตั้งแต่ด่านตรงเพชรบุรี สะพานหัวช้าง และถนนพระราม 1 ก็ไม่ให้เข้า เลยต้องขอเข้าด้านหลังแทน
พ.ต.ท.ชุมพล  เบิกความย้ำด้วยว่า “ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกที่เขาไม่เคลียร์พื้นที่ให้กับทีมดับเพลิง ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น”
ที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความภายหลังทนายได้นำภาพถ่ายที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับ นายสายชล ซึ่งเป็นรูปชายชุดำกำลังถือถังสีเขียวว่า ภาพดังกล่าวถ่ายในบริเวณห้าง ส่วนถังสีเขียวในรูปเป็นถังดับเพลิง ซึ่งในตัวห้างก็มีถังในลักษณะนี้อยู่ ยืนยันว่าไม่ใช่ถังแก๊ส และเครื่องดับเพลิงไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการวางเพลิงได้
ภาพชายชุดำกำลังถือถังสีเขียวที่ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับนายสายชล
อัยการได้ซักค้านพยานด้วยว่ากลุ่มคนกลุ่มที่สองซึ่งติดอาวุธ 7-8 คนที่เข้ามาในห้างที่พยานระบุว่ามีการแต่งกายคล้ายทหารนั้นมีลักษณะอย่างไร พ.ต.ท.ชุมพล ตอบว่าดูจากกล้อง CCTV ประกอบกับที่ได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ. แล้วคาดว่าเป็นชุดปฏิบัติการรบในลักษณะปฏิบัติการพิเศษแน่นอน เครื่องแต่งกายมีหมวกเหล็ก ท็อปบู๊ต ชุดพรางและมีฮู้ดปิดหน้า
พ.ต.ท.ชุมพลเบิกความยืนยันตอนท้ายด้วยว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งระบบการป้องกันอัคคีภัยและรายงานจากทีมดับเพลิงในที่เกิดเหตุเห็นว่า ผู้ถูกจับกุมทั้ง 9 คนที่ถูกจับในห้างนั้นไม่มีความสามารถในการวางเพลิงได้
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน ศาลได้นัดพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 25 มี.ค.53 เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้
ทั้งนี้นายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 ปัจจุบันยังคงถูกคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่หรือโรงเรียนพลตำรวจบางเขน โดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวมาตั้งแต่กลางปี 2553

ภาพทหารบริเวณแยกราชประสงค์ช่วงเพลิงไหม้และเสื้อแดงคนสุดท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ซึ่งทนายจำเลยใช้อ้างเป็นพยานวัตถุในคดี ยังมีภาพทหารสวมผ้าพันคอสีเขียวอ่อนหรือเหลืองปรากฏอยู่ในหน้า 36 และจากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ gettyimages.comซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขายภาพข่าวของช่างภาพทั่วโลกพบด้วยว่า มีภาพทหารกลุ่มผ้าพันเขียวพูดคุยกับน.ส.ผุสดี งามขำ หญิงเสื้อแดงที่นั่งอยู่หน้าเวทีราชประสงค์เป็นคนสุดท้ายในวันที่ 19 พ.ค.(คลิกดู)นอกจากนี้ผุสดียังเคยให้สัมภาษณ์กับข่าวสดรายวัน เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.53ระบุว่า หลังแกนนำมอบตัวและมวลชนออกจากบริเวณที่ชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ไปหมดแล้ว ท่ามกลางระเบิดและกระสุนที่ดังทั่วบริเวณ ตนเองยังอยู่ต่อและเห็นทหารกลุ่มหนึ่งผูกผ้าพันคอสีเหลืองได้ขอให้ออกจากที่ ชุมนุม จึงตัดสินใจออกมาพร้อมผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่มารายล้อมขอสัมภาษณ์ตลอดเส้น ทางเห็นกำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ฝั่งถนนเพลินจิตไว้ได้ทั้งหมดแต่กลับไม่มี การนำรถดับเพลิงมาดับไฟที่ลุกไหม้อยู่
รวมทั้งใน gettyimages.com  ยังมีภาพ 99986251ที่จะเห็น น.ส.ผุสดีที่นั่งอยู่บริเวณหน้าเวทีสีแยกราชประสงค์(คลิกดู) และภาพ 99986642(คลิกดู)99986816(คลิกดู) และ 99985793(คลิกดู)จะเห็นทหารกลุ่มดังกล่าวบริเวณสี่แยกราชประสงค์ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์  
ภาพจาก หนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 36
วีดีโอคลิปขณะที่ทหารเคลื่อนจากเพลินจิตรเข้าสีแยกราชประสงค์
นาทีที่ 4.08 ของวีดีโอจะพบ น.ส.ผุสดี ที่นั่งถือธงอยู่บริเวณหน้าเวทีการชุมนุมที่สีแยกราชประสงค์

มอ.ปัตตานีก้าวหน้า เลือกตั้งออนไลน์ แห่งแรกในไทย

ที่มา ประชาไท


ชี้ทราบผลเร็ว ประหยัดกระดาษ ตรวจสอบสถานภาพนักศึกษาได้ เตรียมเผยแพร่ให้ทุกมหาวิทยาลัยใช้ หนุนใช้กับการเลือกตั้งทั่วประเทศ ยันตรวจสอบได้ โกงยาก ฝ่ายไม่เห็นด้วยชี้ประชาชนยังไม่พร้อม
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2556 ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารองค์การนักศึกษา สภานักศึกษาและนายกสโมสร โดยใช้ระบบออนไลน์หรือระบบอิเลคทรอนิกส์อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
โดยระบบดังกล่าวให้นักศึกษานำบัตรประจำตัวนักศึกษาหรือบัตรประจำตัว ประชาชนไปลงทะเบียนที่หน้าอาคารกองกิจการนักศึกษา เพื่อตรวจสอบสถานภาพความเป็นนักศึกษา โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งนักศึกษา เป็นผู้อธิบายวิธีการและขั้นตอนการลงคะแนน
จากนั้นให้นักศึกษาไปลงคะแนนในคูหาเลือกตั้งภายในศูนย์คอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัย ซึ่งปรับเป็นห้องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งออนไลน์ โดยมีเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ภายในคูหาหลังจากนักศึกษาลงคะแนนแล้ว นักศึกษาจะต้องลงชื่อเพื่อบันทึกเป็นชั่วโมงกิจกรรมของนักศึกษาตามที่ มหาวิทยาลัยกำหนด
ผศ.นิฟาริด ระเด่นอาหมัด รองอธิการบดี ฝ่ายพัฒนานักศึกษาและวัฒนธรรม ม.อ.วิทยาเขตปัตตานี เปิดเผยว่า ระบบนี้เริ่มทดลองใช้เมื่อปีที่แล้ว และผลการทดลองประสบความสำเร็จอย่างดี จึงนำมาใช้จริงในการเลือกตั้งปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้ระบบการเลือกตั้งใน รูปแบบออนไลน์
ผศ.นิฟาริด เปิดเผยด้วยว่า ทางมหาวิทยาลัยจะนำการเลือกตั้งในระบบออนไลน์ไปนำเสนอต่อที่ประชุมของกลุ่ม เครือข่ายกิจกรรมนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย เพื่อให้มหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศนำระบบนี้ไปใช้ เนื่องจากเป็นระบบที่สามารถตรวจสอบได้
ผศ.นิฟาริด กล่าวว่า เห็นด้วยถ้าจะนำระบบนี้ไปใช้ในการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศ เนื่องจากระบบการเลือกตั้งออนไลน์ สามารถตรวจสอบได้และไม่สามารถทุจริตได้ แต่ต้องมีการเตรียมความพร้อมแก่ประชาชนเสียก่อน
“ปัจจุบันนี้ระบบนี้สามารถใช้ได้สำหรับเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่และขอนแก่น เป็นต้น” ผศ.นิฟาริด กล่าว
นายวันสุไลมาน เจะแวมาแจ เจ้าหน้าที่กองกิจการนักศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทางองค์การบริหารองค์การนักศึกษาได้เสนอต่อมหาวิทยาลัยให้ใช้ระบบเลือกตั้ง ออนไลน์ เพื่อประหยัดทรัพยากร เนื่องจากแต่ละปีมหาวิทยาลัยต้องพิมพ์บัตรเลือกตั้งประมาณ 8,000 ใบ แต่ปรากฏว่ามีนักศึกษามาใช้สิทธิเลือกตั้งประมาณ 4,000 คน ทำให้สิ้นเปลืองกระดาษ
นายวันสุไลมาน เปิดเผยต่อไปว่า การเลือกตั้งระบบออนไลน์ยังทำให้สามารถทราบผลการเลือกตั้งได้อย่างรวดเร็ว และสามารถตรวจสอบได้ทำให้ยากต่อการทุจริต โดยสามารถตรวจสอบทั้งผลการเลือกตั้งและตรวจสอบสถานภาพของนักศึกษา
นายนูรุดดีน มูลทรัพย์ นักศึกษาชั้นปี 4 คณะวิทยาการสื่อสาร ม.อ.ปัตตานี กล่าวว่า ข้อดีของการใช้ระบบการเลือกตั้งออนไลน์คือ สามารถรับรู้ผลการเลือกตั้งได้อย่างรวดเร็ว และในการลงคะแนนสามารถเห็นรูปภาพของผู้สมัครอย่างชัดเจน ซึ่งต่างจากระบบบัตรเลือกตั้งที่ไม่มีภาพของผู้สมัคร ซึ่งจะเป็นผลเสียกรณีที่นักศึกษาบางคนจำชื่อผู้สมัครไม่ได้แต่จำหน้าตาได้ ส่วนข้อเสียคือ ระบบคอมพิวเตอร์ทุกระบบมีช่องโหว่ต่อการที่จะโดนเจาะฐานข้อมูลได้
“ผมไม่เห็นด้วยหากจะนำระบบการเลือกตั้งออนไลน์ ไปใช้กับการเลือกตั้งของนักการเมือง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพราะจะเป็นปัญหาต่อผู้สูงอายุที่ไม่เข้าใจระบบเทคโนโลยี”
“นอกจากนี้ประเทศเราเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ระบบอินเตอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึงทุกภาคส่วน ที่สำคัญส่วนใหญ่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงๆ มักมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง และการเลือกตั้งมีการแข่งขันกันสูง จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะจะเจาะระบบคอมพิวเตอร์และแก้ไขข้อมูลการเลือก ตั้งได้” นายนูรุดดีน กล่าว

ทูต 'อียู' แจงไม่ได้ 'แทรกแซง' ไทยกรณี 'สมยศ' แต่ 'ปฏิสัมพันธ์' ด้วยหลักสิทธิฯ

ที่มา ประชาไท


ผู้แทนคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปในไทย กล่าวถึงกรณีเครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบัน ที่จะเดินทางไปประท้วงสำนักงานอียูในไทยวันพฤหัสนี้ กรณีอียูออกแถลงการณ์ "เป็นห่วง" การตัดสินคดีสมยศ พฤกษาเกษมสุข
30 ม.ค. 56 - เดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูต และหัวหน้าผู้แทนคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับประชาไทถึงเรื่องการชุมนุมของเครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปก ป้องสถาบัน ที่มีกำหนดชุมนุมคัดค้านสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยในวัน พรุ่งนี้ ( 31 ม.ค.) ว่า สหภาพยุโรปมิได้มีจุดประสงค์เพื่อเข้าไปยุ่งหรือแทรกแซงอธิปไตยตามที่ทาง เครือข่ายอ้าง เนื่องจากสหภาพยุโรปเพียง"ปฏิสัมพันธ์" กับประเทศไทยบนหลักของสิทธิมนุษยชน และ "เป็นห่วง" ถึงบทลงโทษของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุขที่รุนแรงเกินเหตุ
ก่อนหน้านี้ เครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบันได้เผยแพร่กำหนดการการชุมนุมหน้า สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระบุว่าเป็นการประท้วงการออกแถลงการณ์ของสหภาพยุโรปเรื่องการตัดสินจำคุก 10 ปีกรณีสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงานและบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin เนื่องจากมองว่าสหภาพยุโรปได้ "ล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของชาติไทย" และต้องได้รับการ "สั่งสอน" 
 
เดวิด ลิปแมน ผู้แทนคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวว่า สหภาพยุโรปไม่ได้เข้ามา "แทรกแซง" กิจการของประเทศไทย แต่หน้าที่ของสหภาพยุโรปคือการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศไทยที่ตั้งอยู่บนหลัก สิทธิมนุษยชน โดยมองว่า บทลงโทษจำคุกนายสมยศถึง 11 ปี สำหรับบทความที่ตนเองไม่ได้เขียน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
 
"แน่นอนว่าการใช้เสรีภาพในการแสดงออกเป็นเรื่องที่สามารถตีความได้ แต่เรามองเรื่องนี้จากหลักการทั่วไปของสิทธิมนุษยชน สำหรับเราแล้วในยุโรป เราเองก็มีสถาบันกษัตริย์ ผมมาจากประเทศอังกฤษซึ่งก็มีพระราชินีที่เราเคารัพและนับถือมาก และประชาชนก็สามารถวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ในทางที่เคารพ และก็ไม่ถูกส่งไปจำคุก" ลิปแมนกล่าว
 
เขากล่าวถึงกรณีการประท้วงของกลุ่มดังกล่าวว่า นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้คนสามารถใช้เสรีภาพในการแสดงออกของตนเองได้ ไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสหภาพยุโรป แต่ลิปแมนก็ย้ำว่า การออกแถลงการณ์ไม่ใช่การแทรกแซง แต่เป็นการมีปฏิสัมพันธ์ที่อยู่บนหลักการสิทธิมนุษยชนสากล
 
อนึ่ง ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ได้จัดงานสัมมนาในหัวข้อ "การปรองดองและเสรีภาพในการแสดงออก" ที่โรงแรมดุสิตธานี โดยมีนักวิชาการ อดีตเอกอักรราชทูต สื่อมวลชน และองค์กรภาคประชาสังคมจากในไทยและระหว่างประเทศ เข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนในประเด็นเสรีภาพการแสดงออกในประเทศไทย 
 
ลิปแมนกล่าวว่า จุดประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ เป็นไปเพื่อพูดคุยเรื่องคอนเซปต์ของเสรีภาพการแสดงออก ไม่ได้มุ่งแต่ดูเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสถานการณ์ในไทยและยุโรป
 
 "เราต้องมีพื้นที่ที่สามารถคุยเรื่องนี้ได้อย่างเสรีและเปิดเผย และนั่นเป็นสิ่งที่ผมเห็นคุณค่ามาก เพราะผมรู้ว่า หากผมเป็นทูตที่นี่สองสามปีก่อน ผมคงไม่สามารถจัดงานสัมมนาเรื่องนี้ซึ่งมีวิทยากรทั้งในไทยและต่างประเทศมา ได้ ฉะนั้น นี่แสดงถึงความก้าวหน้าในตัวมันเอง"

กสทช. มอบใบอนุญาตช่องรายการเคเบิล-ดาวเทียม ครั้งแรก ทดลอง 1 ปี

ที่มา ประชาไท


ได้แล้ว 632 ใบอนุญาต สำหรับช่องรายการ 300 ใบ อายุ 1 ปีก่อนต่ออีก 14 ปี สื่อยักษ์ขอใบอนุญาตเปิดสถานีเพียบ ส่วนใบอนุญาตบริการโครงข่ายให้ 331 ใบ อายุ 15 ปี
 
วันนี้ (30 ม.ค.56) ที่ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) หรือ บอร์ดกระจายเสียงฯ จัดพิธีมอบใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ในกิจการที่ไม่ใช่ คลื่นความถี่ 3 ฉบับ โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และพันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.ร่วมเป็นประธาน
 
ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับใบอนุญาตฯ มีจำนวน 632 ใบอนุญาต ประกอบด้วย ใบอนุญาตเพื่อให้บริการกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ หรือช่องรายการ จำนวน 301 ใบอนุญาต ซึ่งมีอายุ 1 ปี แต่ถ้าผู้ประกอบการดำเนินรายการแบบไม่มีปัญหาจะให้อีก 14 ปี รวมเป็น 15 ปี และใบอนุญาตเพื่อให้บริการโครงข่ายกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ แบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น จำนวน 331 ใบอนุญาต โดยใบอนุญาตมีอายุ 15 ปี
 
ทั้งนี้ การมอบใบอนุญาตฯ เป็นไปตามประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ การให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ และการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ลาคม 2555 เป็นต้นมา
 
ประกาศดังกล่าว ได้กำหนดรูปแบบโครงสร้างการอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ของประเทศไทย ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.การให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ หรือ ช่องรายการ 2.การให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เช่น เคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม เป็นต้น 3.การให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวก หรือ ส่วนที่รองรับการเชื่อมโยงโครงข่าย เช่น เสาอากาศ สายอากาศ ระบบท่อ ระบบสาย เป็นต้น
 
ด้าน พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกสทช. และประธาน กสท.เปิดเผยว่า ถือว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการมอบใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการเคเบิล ทีวี ทีวีดาวเทียมในรอบกว่า 50 ปี โดยคณะกรรมการฯ ใช้เวลาพิจารณาเอกสารคำขอประมาณ 1 เดือนเศษ ซึ่งยังมีผู้ประกอบการช่องรายการที่เอกสารสถานะทางการเงิน ลิขสิทธิ์รายการ ยังไม่พร้อม และโครงข่ายยังมีปัญหาเรื่องความชัดเจนของสถาปัตยกรรมต้นทางยันปลายทาง และขอบเขตการครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ ประมาณ 400 ราย คาดว่าจะสามารถพิจารณาแล้วเสร็จช่วงประมาณปลายเดือน ก.พ.56
 

ส่วนบรรยากาศการรับมอบใบอนุญาตดังกล่าว มีช่องรายการอาทิ เดลินิวส์ทีวี, จีเอ็มเอ็มแซด, เอเอสทีวี, เอเชียอัพเดต, ทรูวิชั่น, ซีทีเอช, กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานตำรวจ เป็นต้น ส่วนใบอนุญาตโครงข่าย อาทิ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มารับมอบในครั้งนี้
 
สำหรับกรณีใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง เมื่อวันที่ 28 ม.ค.56 การประชุม บอร์ด กสท.ได้มีมติอนุมัติออกใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง จำนวน 143 ใบ แบ่งเป็นประเภทบริการธุรกิจ 93 ใบ บริการสาธารณะ 30 ใบ และบริการชุมชน 20 ใบ รวมทั้งหมดที่พิจารณาไปแล้ว จำนวน 748 ใบ โดยมีการพิจารณาไปก่อนหน้านี้บ้างแล้ว และจะมอบให้ผู้ประกอบการในวันที่ 8 ก.พ.2556 โดยใบอนุญาตมีอายุปีต่อปี เพราะอยู่ในช่วงการคัดกรองผู้ให้บริการและจัดสรรคลื่นความถี่ที่ปัจจุบันมี ปัญหาคลื่นรบกวน
 
 
เรียบเรียงบางส่วนจาก: เดลินิวส์ออนไลน์ และไทยรัฐออนไลน์

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 31/01/56 กุญแจแก้วิกฤติ....

ที่มา blablabla




ร้อยปัญหา สารพัด ความขัดแย้ง
คือผลแห่ง แก๊งค์ชั่ว สร้างมัวหมอง
ใช้มารยา สับหลีก ฉีกครรลอง
สุดท้ายต้อง ทนทุกข์ จนลุกลาม....

คือวิกฤติ ประเทศไทย ในยุคมืด
ถูกขึงพืด เศร้าสลด หมดคำถาม
"สยามยิ้ม" พริ้มฝัน วันแสนงาม
เหลือแค่นาม คำที่เขียน เพราะเปลี่ยนไป....

ความยุติธรรม ย้ำไว้ ไร้มาตรฐาน
ถูกรุกราน สิทธิชน จนหม่นไหม้
จิตอคติ ไร้เมตตา สุดอาลัย
แล้วดาหน้า เติมเชื้อไฟ ให้ลุกโชน....

ความอยู่รอด ของชาติ ที่ขาดวิ่น
มันสูญสิ้น จากคนอุบาทว์ ทาสหัวโขน
นิรโทษกรรม เถิดหนา อย่าเอนโอน
อย่าพึ่งโยน ให้กูมึง ทำดึงดัน....

อยากเห็นกุญแก แก้วิกฤติ สิทธิ์ทำได้
ทำด้วยใจ ด้วยความหวัง สมดั่งฝัน
คล้ายๆ 66/23 ตามรู้กัน
เพื่อสิ่งนั้น ที่อยากได้ "ไทยร่มเย็น"....

๓ บลา / ๓๑ ม.ค.๕๖

เปิดตัวตนและแนวคิดดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครผู้ว่ากทม.เบอร์4วิพากษ์นโยบายขายฝันผู้สมัครตัวเต็ง

ที่มา Thai E-News



ที่มา บล็อก www.sopon4.blogspot.com

พฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2556
 ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 แถลงประเด็นนโยบาย กทม. ที่พึงทบทวน

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 วิพากษ์แนวคิดด้านนโยบายการพัฒนากรุงเทพมหานครที่มีผู้สมัครนำขึ้นเสนอ แต่ไม่หวังโจมตีใคร เพียงป้องกันการเข้าใจผิดสำหรับประชาชน โดยมีประเด็นดังนี้:

            การเพิ่มพื้นที่สีเขียว  ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครไปเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตรอบนอก ซึ่งไม่มีความจำเป็นมากนัก เพราะในเขตชานเมืองก็มีลักษณะเป็นพื้นที่สีเขียวอยู่แล้ว และในหมู่บ้านจัดสรรก็จัดพื้นที่สีเขียวอยู่พอสมควร  แต่ที่ไปทำในเขตชานเมืองเพราะหาที่ดินได้ง่าย  ประเด็นสำคัญของพื้นที่สีเขียวก็คือในใจกลางเมืองมีความขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งสร้างความตึงเครียดแก่ประชากรที่อาศัยและทำงานอยู่ใจกลางเมืองนับล้านๆ คน เป็นอย่างยิ่ง  ปกติ กทม. ก็จะขอ เช่า หรือซื้อที่ดินเพื่อการทำสวนสาธารณะตามแผนปกติอยู่แล้ว

            ดร.โสภณ พรโชคชัย เสนอแนวทางการสร้างพื้นที่สีเขียวเพิ่มเติมด้วยการอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยในเขตใจกลางเมืองได้อนุญาต ให้ก่อสร้างประมาณ 5-10 เท่าของขนาดที่ดิน เช่น ที่ดินแปลงหนึ่งขนาด 1,000 ตารางวา หรือ 4,000 ตารางเมตร ก็สร้างได้ประมาณ 20,000 – 40,000 ตารางเมตร  แต่หาก กทม. ออกระเบียบให้สามารถสร้างได้มากกว่านั้น เช่น 15 เท่า แต่ให้เว้นพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ก็จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวใจ กลางเมืองได้อีกมหาศาล นอกจากนี้ในหมู่บ้านจัดสรรต่าง ๆ ที่มักมีพื้นที่สีเขียวประมาณ 10-15% ของที่ดิน ก็อาจได้รับการส่งเสริมหรืองดเว้นภาษีหากเพิ่มพื้นที่สีเขียวเป็น 25-40% เป็นต้น  ข้อเสนอนี้จึงเป็นยุทธศาสตร์นโยบายที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์และทำได้จริง

            การจัดแผงตลาดโบ๊เบ๊  สิ่งที่พึงเข้าใจเกี่ยวกับตลาดโบ๊เบ๊ลึก ๆ แล้วก็คือชาวตลาดไม่ต้องการให้ทางราชการเข้ามาจัดระเบียบใหม่ เพราะอาจกระทบการค้า  สำหรับคนภายนอกอาจมองเห็นความรกรุงรัง ดุสภาพคล้ายไม่เป็นระเบียบ  แต่ลักษณะเช่นนี้คือธรรมชาติของตลาดโบ๊เบ๊  ข้อเสนอของบางท่านที่จะเพิ่มพื้นที่ขายให้กับตลาดด้วยการใช้พื้นที่คลองผดุงกรุงเกษม เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะคลองนี้เป็นคลองขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร จะทำให้คลองตื้นเขินได้ด้วย

            ในสมัยที่ ดร.โสภณ พรโชคชัย เรียนอยู่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เมื่อปี พ.ศ.2517 ก็มีการรื้อถอนเรือที่จอดระเกะระกะในคลองผดุงกรุงเกษมและคลองมหานาคมาครั้งหนึ่งแล้ว  ข้อเสนอที่ ดร.โสภณ นำเสนอก็คือ การปิดถนนกรุงเกษม ช่วงตั้งแต่สะพานกษัตริย์ศึก (ยศเส) ถึงถนนดำรงรักษ์ระยะทาง 600 เมตร เพื่อเปิดให้ค้าขายในยามค่ำคืนตั้งแต่เวลา 20:00 – 05:00 น.  แล้วจัดระเบียบแผงที่มาขายของของกลุ่มแม่ค้าในช่วงตลาดเช้าและตลาดกลางวันเสียใหม่

            การเปิดสวนสาธารณะ 24 ชั่วโมง กรณีนี้อาจเป็นไปไม่ได้เพราะต้นไม้ใบหญ้าในสวนควรได้พักในยามค่ำคืนบ้าง และทำการบำรุงรักษาสวนสาธารณะในเวลาค่ำคืน  หากเปิดไฟสว่างไสวก็จะเป็นการสิ้นเปลือง สัตว์โดยเฉพาะนก กระรอก ฯลฯ ในสวนสาธารณะไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน  ปกติกลางคืนต้นไม้จะคายคาร์บอนไดออกไซต์ ไม่เหมาะที่คนจะอยู่ใต้ต้นไม้  ที่สำคัญคงมีคนจำนวนน้อยมากที่คิดจะใช้สวนสาธารณะในเวลา 21:00 – 04:00 ของวันใหม่

            จากประสบการณ์ดูงานนครนิวยอร์ก ลอนดอน และมหานครขนาดใหญ่ทั่วโลกของ ดร.โสภณ พรโชคชัย สวนสาธารณะชั้นนำทั่วโลกก็ไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง    แม้แต่กรณีสนามกอล์ฟในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นกิจกรรมในเชิงพาณิชย์ของอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ ก็เปิดใช้ถึง 20:00 – 21:00 น. เป็นสำคัญ

            ปัญหาเทศกิจกับแม่ค้า  มีการนำเสนอนโยบายให้ “เจ้าหน้าที่เทศกิจ เลิกจับพ่อค้า แม่ค้าที่ขายของบนทางเดินเท้าที่ผิดกฎหมาย โดยจะมีการจัดระเบียบพ่อค้า แม่ค้าให้ถูกต้อง”  กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะอาจกระทบฐานเสียงคนกลุ่มหนึ่ง แต่ก็เป็นปัญหาตำตาที่สร้างความหนักใจให้กับประชาชนในกรุงเทพมหานครเป็นอย่างยิ่ง

            การไม่จัดการการกระทำผิดกฎหมายคงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ในการบริหารรัฐกิจ การยึดแต่หลักรัฐศาสตร์โดยขาดการนำพาต่อหลักนิติศาสตร์ ก็จะทำให้เกิด “ลัทธิเอาอย่าง” และกลายเป็นข้ออ้างในการกระทำผิดกฎหมายจนเกิดสภาพทางเท้ามีไว้ขายของ ชาวบ้านต้องเดินลงไปบนถนน กีดขวางการจราจร  และยิ่งผ่อนผันมากก็ยิ่งมีการรุกล้ำนำทางเท้าบนถนนสายต่าง ๆ มาค้าขายเพิ่มขึ้น

            สิ่งที่ควรดำเนินการในเบื้องต้นก็คือการจัดระเบียบและช่วงเวลาการขายสินค้าใหม่ ที่สำคัญ เงินค่าเช่าที่มีราคาสูงถึงประมาณ 100-200 บาทต่อตารางเมตรหรือต่อแผงนั้น ควรลดราคาลง เพื่อช่วยให้ผู้ค้าสามารถลดราคาสินค้าให้กับผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็นำเงินมาดูแลพื้นที่ รักษาความสะอาดและนำมาพัฒนาท้องถิ่นต่อไปโดยไม่ให้รั่วไหลเข้ากระเป๋าหรือส่งส่วยใคร  และในระยะยาว ควรจัดพื้นที่ค้าขายให้ถูกสุขลักษณะ และสร้างนิสัยการซื้อขายสินค้าที่ไม่ใช่เพียงคำนึงถึงความสะดวกเฉพาะตัว แต่คำนึงถึงส่วนรวม

            ผม ดร.โสภณ พรโชคชัย ขอย้ำว่าการนำเสนอข้อคิดข้างต้นนี้ ไม่ได้หวังโจมตีใคร แต่หวังใจไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิด และนำนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงมานำเสนอ ซึ่งจะทำให้กรุงเทพมหานครเดินไร้ทิศผิดทางต่อไป

 
ติดต่อ ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครหมายเลข 4 ได้ที่ 08.9922.9899 หรือ คุณอัจฉรา 08.6628.2817 อีเมล์: sopon@trebs.ac.th thaiappraisal@gmail.com  เว็บไซต์หาเสียงที่www.sopon4.blogspot.com Facebook: www.facebook.com/dr.sopon4  Twitter:www.twitter.com/Pornchokchai
ติดตามเพิ่มเติมได้ใน www.sopon4.blogspot.com

แถลงข่าวจาก ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.

ในประเทศไทย อำนาจมาด้วยความช่วยเหลือของ "สไก๊ป์"

ที่มา Thai E-News




"สิ่งที่มีลักษณะขัดแย้งกันเองในตัวอย่างที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้ก็คือ ทั้งๆ ที่วิธีจัดการบริหารปกครองประเทศชนิดพิลึกพิลั่นเพียงใด ดูเหมือนคนในประเทศชักจะพอใจ...

ขณะที่บทบาทของคุณทักษิณในการแต่งตั้งทางการเมือง และกำหนดนโยบายของรัฐบาล เป็นเรื่องไม่ธรรมดาโดยมาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยในที่อื่นๆ ผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็รู้ว่าพวกเขาจะได้อะไร" 

โดย ธอมัส ฟุลเลอร์ หนังสือพิมพ์นิยอร์คไทม์ ๒๙ มกราคม ๒๐๑๓
กรุงเทพฯ คนนับล้านๆ ทั่วโลกสามารถลดขอบข่ายการใช้สำนักงานด้วยการใช้ระบบสื่อสารทางไกลในการทำงานจากบ้าน จากสนามบิน หรือไม่ว่าจากที่ใดๆ ซึ่งสามารถต่อเชื่อมกับระบบอินเตอร์เน็ตได้ แต่พรรคการเมืองที่ปกครองประเทศไทยอยู่ได้ใช้ระบบโทรคมนาคมให้เป็นประโยชน์ในมิติใหม่อย่างเต็มรูปแบบ
ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา ด้วยการยอมรับของพรรคเอง การตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในประเทศที่มีประชากร ๖๕ ล้านคนนี้มาจากนอกประเทศ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งลี้ภัยตนเองมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๘ เพื่อหลบเลี่ยงข้อหาคอรัปชั่น
เจ้าหน้าที่พรรคการเมืองเล่าว่า ทักษิณ ชินวัตร ผู้หลบหนีคดีที่โด่งดังที่สุดนี้ เดินทางรอบโลกด้วยเครื่องบินส่วนตัว สนทนากับบรรดารัฐมนตรีของเขาด้วยโทรศัพท์มือถือ เขียนข้อความสื่อสารผ่านทางกระดานสนทนาอีเล็คโทรนิคแบบต่างๆ และอ่านเอกสารราชการซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐส่งให้แก่เขาทางอีเมล
อาจจะเรียกการนี้ว่า ปกครองด้วยสไก๊ป์ หรือรัฐกิจโดยเอสเอ็มเอส (ส่งข้อความทางโทรศัพท์) หนทางที่คุณทักษิณช่วยบริหารประเทศโดยไม่ต้องถูกออกหมายจับกุมในคดีที่หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งเขาทางการเมือง

การกลับสู่อำนาจด้วยรีโหมดคอนโทรลที่แม้แต่บางกรณีมีข้อจำกัดด้วยความห่างไกล เป็นการพลิกผันอันน่าทึ่งสำหรับมหาเศรษฐีพันล้านกิจการโทรคมนาคมที่ถูกโค่นล้มด้วยรัฐประหารเมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๖ ซึ่งเป็นชนวนของการสั่นคลอนเป็นเวลาหลายปีระหว่างฝ่ายที่สนับสนุน และฝ่ายคัดค้านเขา อันนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลถึงสี่ครั้ง และการประท้วงบนท้องถนนที่มีผู้เสียชีวิตเกือบร้อย
โดยทางการแล้วยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของเขาเป็นนายกรัฐมนตรี (เขาเสนอเธอเข้าสู่ตำแหน่งในปี ค.ศ. ๒๐๑๑) แต่จากบ้านพักในดูไบ และลอนดอน จากเหมืองทองของเขาในอาฟริกา และระหว่างการเยี่ยมเยือนประเทศในเอเซียอย่างสม่ำเสมอ คุณทักษิณ วัย ๖๓ ปีได้รวบเอาเทคโนโลยี่ด้านอินเตอร์เน็ต และระบบสื่อสารเคลื่อนที่นำมาอนุวัฒน์เป็นกรรมวิธีบริหารปกครองประเทศชนิดที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด
เราสามารถติดต่อท่านได้ทุกเวลา จารุพงษ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเลขาธิการพรรคเพื่อไทยของคุณทักษิณกล่าว โลกเปลี่ยนไปแล้ว เป็นโลกไร้พรมแดน ไม่เหมือนกับเมื่อร้อยปีที่แล้วที่ยังใช้โทรเลขกันอยู่
เพื่อแสดงให้เห็นประเด็นที่เขาอ้าง จารุพงษ์ดึงเอาโทรศัพท์ไอโฟนของเขาออกมาปาดหน้าปัดหารายการหมายเลขโทรศัพท์ต่างๆ ของคุณทักษิณ (เจ้าหน้าที่พรรคบอกว่าคุณทักษิณให้เบอร์โทรศัพท์แก่แต่ละคนต่างๆ กัน โดยมักขึ้นอยู่กับระดับความอาวุโส)
ถ้าเรามีปัญหาอะไร เราก็โทรถึงท่านได้ คุณจารุพงษ์บอก
คุณทักษิณเองนั้นปฏิเสธที่จะให้ความเห็นแก่บทความนี้ผ่านทางโทรศัพท์ หรือสไก๊ป์
การบริหารราชการแผ่นดินรายวันนั้นตกอยู่ในความรับผิดชอบของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้มีความคมคาย ถ่ายรูปขึ้น และอ่อนวัยกว่าคุณทักษิณถึง ๑๘ ปี เธอออกงานพิธีตัดริบบิ้น และกล่าวปาฐกถา
บางครั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์วัย ๔๕ แสดงตนว่าอยู่นอกเหนือบทบาทของพี่ชาย ทันทีหลังจากเข้ารับตำแหน่ง เมื่อคุณทักษิณเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ผ่านทางสไก๊ป์ ผู้สื่อข่าวถามว่าใครกันแน่ที่สั่งการรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่าเธอเองเป็นผู้มีอำนาจเต็ม และบอกว่าคุณทักษิณเข้าร่วมประชุมเพื่อให้กำลังใจแก่รัฐบาล เธอย้ำอยู่เสมอแต่นั้นมาว่าเธอเป็นหัวหน้าควบคุมทั้งหมด
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทั้งพวกฝ่ายตรงข้าม และผู้สนับสนุนคุณทักษิณเห็นพ้องต้องกันก็คือ เขาเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญขั้นสุดท้าย
ท่านเป็นผู้ที่คิดนโยบายของพรรคเพื่อไทย นพดล ปัทมะ เจ้าหน้าที่อาวุโสระดับสูงในพรรคของคุณทักษิณซึ่งปฏิบัติงานเป็นทนายความประจำตัวของเขาพร้อมกันไปด้วย เกือบจะทุกนโยบายที่ประกาศออกไประหว่างการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มาจากท่านทั้งนั้น
สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำขบวนการ เสื้อเหลือง ซึ่งทำการประท้วงบนท้องถนนต่อต้านทักษิณหลายต่อหลายครั้งเห็นพ้องด้วยว่า เขาเป็นคนบงการทุกสิ่ง
ถ้าคุณอยากได้โครงการในประเทศไทยมูลค่าเป็นพันๆ ล้านละก็ คุณต้องไปคุยกับทักษิณ สนธิผู้ที่ดูเหมือนจะวางมือไปในช่วงที่สภาวการณ์กำลังจะเปลี่ยนไปนี้พูดให้สัมภาษณ์ในตอนหนึ่ง
นอกเหนือจากสไก๊ปืแล้ว คุณทักษิณยังใช้แอ็พพลิเกชั่นทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ รวมทั้ง WhatApp และ Line สำหรับติดต่อกับแกนนำของพรรค ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของพรรคกล่าว
มีการสนทนาผ่านสไก๊ป์หลายเรื่องที่ได้รับการรายงานเป็นข่าวออกสู่สื่อมวลชนไทย ในเดือนนี้ก็มีวิดีโอการสนทนาของคุณทักษิณเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพมหานครออกมา วิดีโอสนทนาหนึ่งชั่วโมงของคุณทักษิณกลายเป็นข่าวก็เพราะเจ้าหน้าที่เล่าว่า เขาบอกแก่ลูกพรรคว่าจะส่งใครลงสมัครไม่สำคัญหรอก แม้แต่ส่งเสาไฟฟ้าลงก็จะชนะคู่ต่อสู้
คุณทักษิณยังคงเป็นบุคคลสาธารณะสำคัญท่ามกลางปัญหาความแตกแยก เขายังเป็นผู้ได้รับการยกย่องจากมวลชนขนาดใหญ่โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชนบทของประเทศซึ่งมอบให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีในดวงใจ ขณะที่อีกฝ่ายอันเป็นกลุ่มชนชั้นสูงในเมืองก็ต่อต้านเขาอย่างสาดเสีย คนพวกนี้ยังมีความหวาดหวั่นว่าเขา และพรรคของเขาจะพลิกผันสถานะเดิมที่เป็นประโยชน์แก่พวกตน พร้อมไปกับความโกรธแค้นต่อกลวิธีผสมผสานงานบริหารรัฐกิจเข้ากับการขยายกิจการส่วนตัว และบุคคลิกภาพการเป็นผู้นำที่เด่นครอบงำเหนือคนอื่นๆ ของเขา
แต่ว่าด้วยเหตุที่เศรษฐกิจของประเทศไทยยังดำเนินไปด้วยดีท่ามกลางความตกต่ำทั่วโลก และไม่กระทบกระเทือนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วยังดีขึ้นกว่าก่อนเกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเสียอีก ฝ่ายต่อต้านเขาไม่สามารถดึงคนลงไปสร้างสถานการณ์บนท้องถนนได้ ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าคนที่พวกตนพยายามมาเนิ่นนานที่จะผลักไสออกไปจากศูนย์อำนาจนั้นกำลังบงการมาจากแดนไกล
การคืนสู่อำนาจของคุณทักษิณนั้นเข้ากันได้เหมาะเจาะกับวิถีการเมืองในประเทศไทย ซึ่งยากที่จะอธิบายให้คนภายนอกเข้าใจได้เพราะบางครั้งดูเหมือนจะยากอย่างยิ่งที่จะเป็นจริงได้ นายทหายศพลเอกคนที่เป็นหัวหน้าในการยึดอำนาจจากคุณทักษิณในปี ค.ศ. ๒๐๐๖ บัดนี้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเป็นประธานกรรมาธิการเพื่อความปรองดองแห่งชาติ และอดีต ราชาอาบอบนวด ผู้ที่สร้างความร่ำรวยจากกิจการสถานนาบนอกกฏหมายบัดนี้กลายเป็นนักต่อต้านคอรัปชั่นตัวยง เที่ยวเปิดโปงผ่อนการพนันเป็นรายวัน
สิ่งที่มีลักษณะขัดแย้งกันเองในตัวอย่างที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้ก็คือ ทั้งๆ ที่วิธีจัดการบริหารปกครองประเทศชนิดพิลึกพิลั่นเพียงใด ดูเหมือนคนในประเทศชักจะพอใจ กับสิ่งที่ธิตินันท์ พงษ์สุทธิลักษณ์ ศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักคิดทางการเมืองของไทยที่โดดเด่นคนหนึ่งบอกว่าเป็น การเอื้ออำนวยชนิดที่ไม่ค่อยจะอุ่นใจนัก
คุณจะมองเรื่องนี้ได้สองทาง คุณอาจมองว่ามันเป็นการอำพราง เป็นสภาพที่สุดเขลา และเป็นเรื่องตลกมากมายชนิดขำไม่ออก ที่พี่ชายเป็นคนกดปุ่มบัญชาการให้น้องสาวเป็นหุ่นเชิด คุณธิตินันท์ให้สัมภาษณ์ แต่ผมก็เริ่มที่จะมองภาพที่แตกต่างออกไปบ้างแล้ว นี่อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะบริหารประเทศไทย
คนไทยจำนวนมากคิดว่าน่าจะเป็นการดีต่อทั้งคุณทักษิณ และประเทศชาติถ้าหากเขาอยู่นอกประเทศ เพื่อที่ความปักใจต่างๆ จะไม่จุดประกายขึ้นมาใหม่อีก
รมว. มหาดไทย จารุพงษ์บอกว่าการอยู่ห่างไกลของคุณทักษิณทำให้เขาได้รับเอาทัศนคติที่เป็นประโยชน์มากกว่า เปรียบประดุจดังโค้ชทีมฟุตบอล (ในกรณีนี้คือคณะรัฐมนตรี)
จารุพงษ์ให้อัตถาธิบายเพิ่มเดิมของข้อดีที่มีทีมพี่ชาย-น้องสาวควบคุมสั่งการว่า เหมือนเรามีนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งอยู่ในประเทศ อีกคนหนึ่งอยู่นอกประเทศ แล้วเราทำงานร่วมกัน นี่เป็นความเข้มแข็งของเรา
ในการตัดสินใจบางอย่าง คุณทักษิณเน้นที่จะต้องพบกันต่อหน้า เขามักเรียกให้ไปพบที่บ้านในดูไบ หรือโรงแรมในฮ่องกง ซึ่งเขาเดินทางไปเป็นประจำ และมันเป็นสิ่งจำเป็นในการเมืองไทยทุกวันนี้ ใครที่ต้องการตำแหน่งหน้าที่สำคัญในรัฐบาลจะต้องบินไปพบคุณทักษิณ
ขณะที่บทบาทของคุณทักษิณในการแต่งตั้งทางการเมือง และกำหนดนโยบายของรัฐบาล เป็นเรื่องไม่ธรรมดาโดยมาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยในที่อื่นๆ ผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็รู้ว่าพวกเขาจะได้อะไร พรรคของคุณทักษิณใช้สโลแกนที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งในปี ค.ศ. ๒๐๑๑ ว่า ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ

โชคดีที่มีซับใน! "พงศพัศ" เขินหลังเป้ากางเกงขาด

ที่มา go6tv


"ดร.พงศพัศ" แสดงอาการเขิน ระหว่างสื่อมวลชนจำนวนมาก สอบถามเรื่อง "เป้ากางเกงขาด"
Photo by olan_nna
31 มกราคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีข่าวกรณี "เป้ากางเกงขาด" ของ พล.ต.อ.ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 9 พรรคเพื่อไทย ระหว่างลงพื้นที่หาเสียงหมู่บ้านและตลาดอมรพันธ์ 9 เขตลาดพร้าว เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ล่าสุด สื่อมวลชนจำนวนมา ได้สอบถามถึงรายละเอียดดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดย พล.ต.อ.ดร.พงศพัศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า 

"รู้สึกว่ากางเกงขาดช่วงที่พูดคุยกับเด็ก แต่โชคดีที่มีซับใน พยายามเอามือปิด ซึ่งกางเกงตัวที่ขาดเป็นตัวโปรดด้วย จะเอาไปเย็บ" พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม สำหรับความเคลื่อนไหวทางด้านนโยบายของ พล.ต.อ.ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ นั้น วาน นี้ (30 มกราคม) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่า กทม พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงข่าวเปิดนโยบายหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่า กทม อย่างเป็นทางการ ภายใต้หัวข้อ “วางยุทธศาสตร์ สร้างอนาคตกรุงเทพร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ” โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ 1.บริหารจัดการกรุงเทพมหานครแบบบูรณาการโดยการทำงานร่วมกับรัฐบาล 2.ประสานงานกับทุกหน่วยงาน ร่วมทำงานทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้ไปในทิศทางเดียวกัน และ 3.สนับสนุนโครงการของรัฐบาลยุทธศาสตร์ สร้างอนาคตกรุงเทพร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ”

ชาวเน็ตเห็นใจ "พงศพัศ" เดินหาเสียงจนเป้ากางเกงขาด

ที่มา go6tv


31 มกราคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟสบุ๊ก "ไทยรัฐออนไลน์" ได้เผยแพร่ภาพรอยขาดบริเวณเป้ากางเกง ของ พล.ต.อ.ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 9 พรรคเพื่อไทย ระหว่างการเดินหาเสียง โดยมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างแสดงความเห็นใจและชื่นชม พล.ต.อ.ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ เป็นจำนวนมาก 

ผู้ สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทย เดินทางลงพื้นที่หาเสียงหมู่บ้านและตลาดอมรพันธ์ 9 เขตลาดพร้าว โดยมี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ มท.1 ช่วยลงพื้นที่หาเสียง ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้า และ ปชช.ให้ความสนใจ นำดอกกุหลาบมามอบให้เพื่อเป็นกำลังใจและขอถ่ายภาพด้วยจำนวนมาก
         

ทั้ง นี้ พล.ต.อ.พงศพัศ ได้เข้ากราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในชุมชน ตักบาตรพระสงฆ์จำนวน 2 รูป ก่อนที่จะสร้างสีสันด้วยการทอดปาท่องโก๋เป็นเลข 9 และหั่นหมู 9 ชิ้น และเยี่ยมชมสวนสุขภาพชุมชน เยี่ยมร้านค้าถูกใจ พร้อมชูนโยบายนำร้านถูกใจ ซึ่งจำหน่ายสินราคาประหยัดของ ก.พาณิชย์ มาไว้ในชุมชนทั้ง 50 สนง.เขตด้วย
         

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ จะลงพื้นที่หาเสียงต่อ ศูนย์เด็กเล็กชุมชนเนียมกล่ำสามัคคี และ ร.ร.ฝึกอาชีพบ้านบำรุงศิลป์
ตัวอย่างความคิดเห็นของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต

ม็อบปกป้องสถาบันฯหงอยซ้ำซากมา 20 คน แต่จะสอนกฏหมาย ม.112 ให้ EU ฟัง!

ที่มา go6tv





วันที่ 30 มกราคม 2556 (go6TV) เครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบัน ชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) อาคารเคี่ยนหงวน 2 ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ เพื่อประท้วงอียู เนื่องจากก่อนหน้านี้อียูได้ออกแถลงการณ์แสดงความไม่สบายใจ กรณีศาลชั้นต้นสั่งจำคุก นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการนิตยสาร Voice of  Taksin 

นายธนบดี วรุณศรี  ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ  กล่าวว่า การมาวันนี้ เพื่อมาสอนแลคเชอร์ให้อียูฟัง ขณะนี้พยายามประสานงานกับผู้แทนสหภาพยุโรปเพื่อขอเข้าไปอธิบายรายละเอียด โดยมีประเด็นที่ต้องการอธิบายต่ออียูคือ
1. ต้องการให้เข้าใจสถานภาพกษัตริย์ของไทยว่าอาจไม่เหมือนกษัตริย์ประเทศอื่น บางประเทศในอียูไม่เคยมีกษัตริย์ อาจไม่เข้าใจว่าสถาบันกษัตริย์มีความสูงสุดขนาดไหน
2.ต้องการอธิบายว่าทำไมต้องมีมาตรา 112 และไม่เฉพาะแต่ประเทศไทย แม้แต่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก็มีโทษจำคุก 4-5 ปี หากมีการหมิ่นสถาบันกษัตริย์ คุณสมยศซึ่งกระทำความผิดชัดแจ้ง โดยตีพิมพ์บทความสองบทความ มีโทษบทความละ 5 ปี ก็ถือว่าไม่ได้มากไปกว่าเนเธอร์แลนด์ หากไม่ได้มีการลบหลู่จริงใครจะมาทำอะไร รัฐธรรมนูญกำหนดให้กษัตริย์เป็นจอมทัพไทย ดังนั้น จึงต้องมีกฎหมายปกป้องประมุขของชาติ
โดยการชุมนุมในวันนี้ มีคนเข้าร่วมชุมนุมประมาณ 20 คน

หาม "กำนันเป๊าะ" ส่งโรงพยาบาลกลางดึกหลัง "ช็อคหมดสติ" เพราะเครียดหนัก

ที่มา go6tv



มีรายงานว่าเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ นำ ตัว นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ส่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เป็นการด่วน เนื่องจากมีอาการเครียดจัด ทำให้เกิดอาการช็อค หลังถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ในแดนแรกรับเป็นคืนแรก    และเมื่อเวลา 9 นาฬิกา ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมได้ ก็มีญาติ และลูกน้องของกำนันเป๊าะ ซึ่งเดินทางมาถึงที่เรือนจำตั้งแต่ช่วงเช้า ก็ได้เข้าเยี่ยมกำนันเป๊าะแล้ว

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

'พร้อมพงศ์' ยื่นสอบทุจริตสร้างแฟลตตำรวจ

ที่มา Voice TV




รองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ยื่นหนังสือสอบทุจริตโครงการก่อสร้างแฟลตตำรวจทั่วประเทศ 163 แห่ง พบปัญหาลักษณะเดียวกันกับโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และรองประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร เข้ายื่นหนังสือต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบโครงการก่อสร้างแฟลตตำรวจทั่วประเทศ 163 แห่ง วงเงินงบประมาณ 3,800 ล้านบาท หลังได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า การก่อสร้างมีปัญหาทั้งหมดเนื่องจากผู้รับเหมาทิ้งงาน สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงทำให้เสียค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีปัญหาลักษณะเดียวกันกับโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน ซึ่งทั้ง 2 โครงการล้วนมีปัญหาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาให้การอนุมัติในโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่ง 2 โครงการมีมูลค่ารวมกันกว่า 10,000 ล้านบาท  ขณะเดียวกันเป็นที่น่าสังเกตว่า บริษัทที่ได้สัมปทานเป็นผู้ประมูลงานได้ทั้ง 2 โครงการด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล อาจมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง

ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ ระบุว่าจะมีการดำเนินการสอบสวนโครงการก่อสร้างแฟลตตำรวจทั่วประเทศและ โครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน หากพบว่า เข้าข่าย พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ทาง พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะสั่งระงับโครงการดังกล่าวทันที พร้อมย้ำ หากฝ่ายใดกระทำผิดต้องรับผิดชอบ

ขณะที่นายธาริต กล่าวว่า ดีเอสไอ จะรับเรื่องไปตรวจสอบ เพราะเรื่องดังกล่าวอยู่ในกฎหมายท้ายบัญชีของ พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ ของดีเอสไอ ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ จะลงพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต และกระบี่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
30 มกราคม 2556 เวลา 15:44 น.

เสวนาผู้ว่าฯ แบบไหนโดนใจคนกรุง

ที่มา Voice TV




นักวิชาการ ระบุ ผู้ว่าฯกทม. ที่โดนใจคนกรุงเทพ มากที่สุด คือ ผู้ว่าที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอนและมีนโยบายที่เห็นผลเป็นรูปธรรมและ สามารถทำได้จริง พร้อมเรียกร้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตรวจสอบวิธีการวิจัยโพล เพื่อไม่ให้ผลโพลชี้นำในการเลือกตั้ง

ในการเสวนาหัวข้อ ผู้ว่าฯแบบไหนโดนใจคนกรุง ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา นายสมเดช รุ่งศรีสวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา กล่าวว่า ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่โดนใจคนกรุงเทพมากที่สุด คือ ผู้ว่าที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน เช่น ปัญหารถติด ปัญหาเรื่องขยะ ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ผู้ว่าจะต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการศึกษาก็เป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากนี้ยัง อยากให้ผู้ที่จะมาเป็นผู้ว่าฯกทม. มีความซื่อสัตย์สุจริต เนื่องจากงบประมาณที่ได้มานั้นมหาศาล รวมทั้งนโยบายต้องชัดเจนเป็นรูปธรรมและสามารถทำได้จริง ทั้งนี้ จากการศึกษานโยบายของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ขณะนี้ พบว่าเป็นไปได้ยาก หากจะทำครบภายใน 4 ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะทำได้แค่ร้อยละ 30 เท่านั้น ทั้งนี้ต้องให้ประชาชนคอยตรวจสอบและติดตาม

ส่วนการจัดทำโพลคะแนนของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งในการชี้นำ และเป็นผลกระทบในการโน้มน้าวใจ แต่ทั้งนี้ผู้สมัครที่มีคะแนนอันดับที่ 1 และ ที่ 2 ก็มีฐานเสียงของพรรคการเมืองอยู่แล้ว ซึ่งประชาชนจะต้องดูด้วยว่าโพลนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งการทำโพลของสถาบันต่างๆ นั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ควรมีการตรวจสอบวิธีการวิจัยที่ออกมาด้วย
30 มกราคม 2556 เวลา 15:54 น.

การเมืองเรื่อง “ยกเมฆ” ของคน “แอ๊บฉลาด”

ที่มา ประชาไท


ละครฉากใหญ่กำลังเปิดฉากขึ้นอย่างเข้มข้น แต่เป็นฉากเดิมๆ ซ้ำๆ เหมือนละครช่องเจ็ดและช่องสาม ที่พระเอกไม่รู้ว่านางเอกบริสุทธิ์เลยข่มขืน แต่สุดท้ายก็รักกัน หรือที่จริงนางเอกนั้นเป็นลูกผู้ดีมีเงินตกยากที่ตามหาพินัยกรรมของพ่อที่ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน  เช่นเดียวกันกับผู้สมัครรับเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร ที่คิดมุกใหม่ๆ ไม่ออก นอกจากลอกท่อ ขึ้นรถเมล์ เทขยะ ฯลฯ ที่เราจะเห็นได้เฉพาะเมื่อเวียนมาถึงเทศกาลการเลือกตั้ง และตอนนี้...เราก็กำลังดูฉากเดิมๆ อยู่ ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งจริงขิงผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ
อีกหนึ่งละครฉากใหญ่ที่กำลังเล่นไปควบคู่กันก็คือเกมการเมืองที่ดุเดือด เข้มข้น และดูจริงจัง ดุเด็ด เผ็ดมันส์ มากกว่าการลอกท่อ ขึ้นรถเมล์ เทขยะ ฯลฯ โดยในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครครั้งนี้ มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งหมด 18 คน สังกัดพรรคการเมือง 3 คน คือ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ พลตำรวจเอก ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ พรรคเพื่อไทย และนายจำรัส อินทุมาร พรรคไทยพอเพียง และผู้สมัครอิสระอีก 15 คน โดยที่พอจะคุ้นชื่อและเป็นข่าวมากหน่อยเห็นจะเป็นพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส นามกลุ่ม "พลังกรุงเทพ" และนายสุหฤท สยามวาลา ดีเจชื่อดัง ที่ออกสตาร์ทหาเสียงก่อนใครเพื่อน
ความดุเด็ดเผ็ดมันส์เริ่มตั้งแต่การที่พรรคประชาธิปัตย์ส่งอดีตผู้ว่า กทม. หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ลงสมัครเพื่อยึดเก้าอี้เดิมของตัวเอง ซึ่งตามมาด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายด้วย “Performance” ในการทำงานที่ผ่านมาในฐานะผู้ว่ากทม.นั้น ไม่สู้ดี ถึงขั้นมีการเขียนข่าวว่าแม้แต่ผู้ที่นิยมชมชอบในตัวพรรคประชาธิปัตย์เอง (ซึ่งเป็นประชาชนคนธรรมดา) ยังไม่อยากจะเลือกกลับให้เข้าไปทำงานอีกครั้งเลย ตามมาด้วยข่าวพรรคเพื่อไทยที่เปิดตัวผู้สมัครตามข่าวว่า แม้แต่ส่ง “เสาไฟฟ้า” ลงสมัคร ก็ยังชนะเลย ซึ่งกลายเป็นฉายาต่อมาของ พลตำรวจเอก ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทยและอีกหนึ่งคนคือ คุณสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครอิสระที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากที่สุดอีกคนหนึ่ง ทั้งด้วยวิธีการการหาเสียง ประวัติส่วนตัว และนโยบาย
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มีการเผยแพร่โปสเตอร์แคมเปญอันหนึ่งทางเฟซบุ๊ก สืบความได้ว่าน่าจะมาจากเพจ “พวกเราชาวไทยไม่ยุบสภาและมาเอาคนโกงชาติทักษิณกลับคืนมา” โดยมีการอ้างอิงข้อความบนโปสเตอร์นั้นมาจากความในใจเบื้องหลังคนบันเทิงคน หนึ่ง ซึ่งดูจากเครดิตท้ายโปสเตอร์เขียนไว้ว่า Thipdhida Satdhathip นักเขียนบทภาพยนตร์ที่ข้อความการแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กของเธอเกี่ยวกับ เรื่องการแบนละครเรื่องเหนือเมฆนั้นได้รับการเผยแพร่แชร์ต่ออย่างแพร่หลาย และนี่อาจเป็นอีกครั้งที่ข้อความการแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กของเธอถูกนำมา เผยแพร่ในรูปแบบการจัดทำโปสเตอร์แคมเปญสู่สาธารณะในโลกโซเชียลมีเดีย โดยข้อความดังกล่าวปรากฏว่า
“หนึ่งคะแนนเสียงมีค่าอย่าใช้เพื่อความมัน แปลกแตกต่าง หรือกับพรรคอิสระที่มาก็ไม่ชนะอุตสาห์มาทำไม ????  อย่าเป็นคนแอ๊บใสที่อยากแสดงว่า “เป็นตัวของตัวเอง” จนไม่แหกตาดูว่ารอบๆ ตัว เหี้ย !!! มันกำลังแพร่เชื้อ อย่ามุ่งปัจเจกจนลืมภาพรวมผืนใหญ่ อย่าเป็นมือหนึ่งที่ส่งมอบประเทศไทย ป้อนใส่ปากทักษิณ BY Thipdhida Satdhathip”
พลันที่อ่านข้อความจบ ดิฉันก็คิดว่า คงต้องตีความแบบ “เหนือเมฆ” สักหน่อย อ่านรวมๆ เหมือนว่าจะดี เพราะยกเอา “ภาพรวม” เป็นหลัก แต่ไปริดรอนสิทธิ (รวมถึงดูถูกเหยียดหยาม) ทั้งผู้สมัคร และผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับคอนเซ็ปต์ความคิดอันจะพูดถึงต่อไป
อ่านแบบขำๆ นี่อาจจะเป็นเกมการเมืองแบบ “เหนือเมฆ” ก็เป็นไปได้ ในเมื่อหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ สตาร์ทด้วยภาพลักษณ์ที่ติดตัวมาจาก Performance ในขณะที่เป็นผู้ว่า กทม. ไม่สู้ดีนัก ซึ่งอาจทำให้คะแนนเสียงลดลงทั้งจากฝ่ายตรงข้ามที่ผูกปิ่นโตกับพรรคเพื่อไทย หรือฝ่ายที่นิยมชมชอบพรรคประชาธิปัตย์อยู่แต่เดิม แต่ไม่อยากลงคะแนนเสียงให้หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร เพราะพิจารณาจากผลงานครั้งที่แล้ว รวมถึงผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งคนอื่นๆ ที่อาจจะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครอิสระอื่นๆ ด้วยเพราะความนิยมชมชอบในนโยบาย หรือความสนิทสนมส่วนตัว เป้นญาติ เป็นเพื่อน เป็นเจ้านาย อะไรก็ว่าไป ดังนั้นสาวกของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลาย ในเมื่อมิอาจกู้ชื่อ “เสีย” จากการเป็นผู้ว่า กทม. ในครั้งก่อนเพื่อเรียกคะแนนเสียงในการลงสมัครครั้งนี้แล้ว จึงได้คิดแคมเปญใหม่คือ ไม่ต้องพูดถึงนโยบายกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครของใคร ไม่ต้องดูว่าผลงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่จงดู “ภาพรวม” กันดีกว่าว่า ถ้าคุณไปเอาคะแนนเสียงไปทิ้งกับบรรดาผู้สมัครอิสระทั้งหลาย จนเป็นการเกลี่ยคะแนนเสียง อาจทำให้ผู้สมัคร “เสาไฟฟ้า” จากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้ ซึ่งจะการสูญเสียพื้นที่การปกครองทั้งระดับกรุงเทพฯ และระดับประเทศ (เนื่องด้วยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลอยู่ ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ โดยหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่า กทม. ก็เท่ากับว่ายังเหลือกรุงเทพฯ ที่ยังไม่สูญเสียเขตพื้นที่และอำนาจการปกครองให้พรรคเพื่อไทย)
            อุ๊ย! มันช่าง “เหนือเมฆ” เสียจริง
ที่เหนือเมฆ หรือยกเมฆ มากไปกว่านั้นคือ อุปมาว่าด้วยการสูญเสียประเทศ ดั่งพม่าจะมาตีเมืองเหมือนสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 อย่างนั้นแหละ สงสัยคงจะดูหนังเรื่องนเรศวรมากไป ! หากจะกล่าวถึงเรื่องการสูญเสียประเทศเชิงกายภาพ ตราบใดที่เราเสียภาษี บ้านที่ดิน เป็นเชื่อของเรา รัฐบาลไม่บ้าจี้ (ซึ่งแน่นอนว่ามันคงโง่มาก) ลุกขึ้นมาออกกฎหมายริบทรัพย์สินของประชาชนให้ตกเป็นของรัฐทั้งหมด แล้วเราจะไปเสียประเทศให้คร้ายยย...(ยกเว้นฝรั่งหรือทุนต่างชาติที่ร่วมหุ้น กับทุนไทยที่กว้านซื้อที่ดินริมทะเลสร้างเป็นคอนโด รีสอร์ท โรงแรมหรูไปเสียหมด อันนี้สิ ของจริง!) หรือหากจะมองในแง่การครอบงำของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ปัจจุบันนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มี ลิสต์รายชื่อมาสิว่ากลุ่มทุนที่ผูกขาดที่ดิน แบรนด์อุปโภคบริโภคของคนไทย (เซเว่นเป็นต้น) จะมีสักกี่เจ้ากี่นามสกุลกันเชียว หรือหากจะพูดถึงในแง่เขตพื้นที่การบริหาร ไม่ว่าพรรคไหน หรือกลุ่มอิสระไหนเข้ามาบริหารกรุงเทพฯ ก็ต้องมีระบบในการตรวจสอบด้วยกันทั้งนั้น และก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องตรวบสอบ (การทุจริต การเอื้อประโยชน์) ไม่ว่าพรรคไหนๆ ก็ตาม
ดิฉันไม่ได้นาอีฟ หรือแอ๊บใส โลกสวย ที่จะบอกว่าการที่พรรคการเมืองหนึ่งมีอำนาจปกครองในฐานะรัฐบาลแล้วพรรคการ เมืองของตัวเองก็ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารกรุงเทพฯ นั้นจะไม่เกิดการเอื้อประโยชน์ทางการเมือง แต่สิ่งที่กำลังจะบอกก็คือ การอุปมาไปไกลขนาดนั้น มันไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ มันยกเมฆ มันเกินจริง กับการที่พยายามจะโน้มน้าวให้แคมเปญนั้นดูมีเหตุมีผล น่าเชื่อถือ ทั้งๆ ที่มันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด !
เริ่มตั้งแต่ประการแรก กับการดูถูกเหยียดหยามผู้สมัครอิสระคนอื่นๆ ที่ลงชิงชัยในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้กับคำกล่าวที่ว่า “พรรคอิสระที่มาก็ไม่ชนะอุตสาห์มาทำไม ????” (สะกดตามตัวบทเดิมในโปสเตอร์) เราคงต้องกลับไปทบทวนพื้นฐานการเมืองของประเทศไทยก่อนเสียว่า เราไม่ได้มีระบบสองพรรคอย่างอเมริกา ที่มีผู้ชิงชัยเพียง 2 ฝ่าย ใครเป็นรีพลับบลิกันก็ลงคะแนนให้รีพลับบลิกัน ใครเป็นเดโมแครตก็ลงคะแนนให้เดโมแครต ส่วนใครไม่เป็นอะไรเลย ก็รอดูว่านโยบายของใครน่าสนใจ และเราอยากจะสนับสนุนนโยบายของพรรคไหน และไอ้คำว่า นโยบายของใครน่าสนใจใครอยากจะสนับสนุนนโยบายของพรรคไหน หรือผู้สมัครคนใดก็เป็นพื้นฐานแห่งการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และในเมื่อประเทศไทยไม่ใช่ระบบสองพรรค จึงเปิดโอกาสให้มีผู้สมัครจากพรรคอื่นๆ หรือในนามอิสระ ที่อาจมีนโยบายที่แตกต่างออกไปจากสองพรรคใหญ่ให้เป็นทางเลือกของคนกรุงลง สมัครรับเลือกตั้งได้
ซึ่งสงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารนะคะ...
แต่แม้ว่าในที่สุด หากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง เราก็ไม่สามารถไปโทษผู้สมัครอิสระอื่นๆ ได้ว่า มึงเสือกมาลงเลือกตั้งทำไม เห็นไหมว่าคะแนนเสียงมันถูกเกลี่ยไป เพราะการเสือกมาลงสมัครรับเลือกตั้งนี้เป็นการเสือกที่ได้รับการรับรองโดย กฎหมายการเลือกตั้งและระบการเลือกตั้งของประเทศนี้ ที่เราไม่อาจเสือกไปว่าเขาได้ว่า “พรรคอิสระที่มาก็ไม่ชนะอุตสาห์มาทำไม ????” เพราะเขามีสิทธิโดยชอบธรรมทุกประการ และหากพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์แพ้การลือกตั้ง (ระวังไว้เหอะ ถ้าคุณสุหฤท สยามวาลา ได้ แล้วคุณจะหงายเงิบ)  มันก็ไม่ใช่ความคิดของผู้สมัครอิสระที่ไปแชร์ หรือไปเกลี่ยคะแนนเสียง แต่เป็นเพราะคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ (ที่โดยนัยของโปสเตอร์นั้นบ่งบอกว่ากรุณาเลือกพรรคประชาธิปัตย์นะคะ) ได้ไม่มากพอที่จะได้รับการเลือกตั้งต่างหากล่ะ
การไปตราหน้าด่ากราดว่า “พรรคอิสระที่มาก็ไม่ชนะอุตสาห์มาทำไม ????” เป็นการแสดงถึงความคับแคบทางความคิดในทางการเมืองของตนเองที่ไปตัดสินคนอื่น จากจุดยืนทางการเมืองของตนเองฝ่ายเดียวอีกด้วย
และยิ่งตอกย้ำความคับแคบทางความคิดของตนเองแบบคูณสองกับคอนเซ็ปต์ต่อมา ที่ว่า “อย่าเป็นคนแอ๊บใสที่อยากแสดงว่า “เป็นตัวของตัวเอง” ประการแรกการเลือกตั้งนั้น เป็นการใช้สิทธิโดยเจตจำนงเสรีที่บุคคลหนึ่งพึงมีโดยไม่ถูกกระทำด้วยการ บังคับ ข่มขืน ทางร่างกายหรือจิตใจ ไม่ใช่หรือ และหากเขาเหล่านั้นจะใช้เจตจำนงเสรีของตนเองเลือกผู้ว่า กทม. ที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ การแสดงความ “เป็นตัวของตัวเองในทางความคิด” ด้วยการเลือกผู้ว่า กทม. ตามที่เขาพึงพอใจในนโยบายนั้น เขาผิดอย่างไร ทำไมจึงต้องถูกตราหน้าว่า “แอ๊บใส” พูดง่ายๆ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเลือกพรรคเพื่อไทยก็ได้ แต่สมมติว่าคนกลุ่มหนึ่งเบื่อมากกก...กับการเมืองสองพรรคใหญ่ ที่ตีกันไปกันมาแล้วกำลังจะตัดสินใจเลือกผู้สมัครอิสระ แล้วเผอิญว่ากำลังการแสดงความเป็นตัวของตัวเองก้อนนี้ดันใหญ่ซะด้วย แล้วสมมติต่ออีกว่าทำให้ผู้สมัครอิสระคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ว่า กทม. นั้น เขา “แอ๊บใส” อย่างไร เขาผิดอย่างไร ??? การจะเลือกใครนั้น ปัจเจกคนหนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่ง เขาอาจจะชื่นชอบ ศรัทธา ในนโยบาย (ที่สองพรรคนั้นอาจไม่มี หรือมีคนละเรื่อง) หรืออาจมี agenda ที่เหนือเมฆไปกว่านั้น คือเปลี่ยนมือการปกครองจากสองพรรคยักษ์ใหญ่ไปเลยก็ได้ นี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนเราทุกคน ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะมาละเมิดหรือดูหมิ่น เหยียดหยาม
ทางที่ดีที่ถูกที่ควร สุภาพและวิญญูชนที่มีสติสัมปชัญญะพึงกระทำนั้นก็คือ หากคุณต้องการให้พรรคไหนที่คุณชื่นชอบนั้นชนะการเลือกตั้งก็จงช่วยเขาหา เสียง ช่วยเขาเผยแพร่นโยบายของเขา ไม่ใช่มากล่าวหาทั้งผู้สมัครอิสระ หรือคนที่จะเลือกผู้สมัครอิสระว่า เป็นมือหนึ่งที่กำลังทำให้ประเทศต้องล่มจมเพราะกำลัง “ส่งมอบประเทศไทย ป้อนใส่ปากทักษิณ”
ซึ่งทั้งหมดนั้น มาจบที่บทสรุปของคอนเซ็ปต์ความคิดใหญ่ที่โปสเตอร์หรือข้อความนั้นกำลังส่ง สารถึงเรา นั่นก็คือ “มโนทัศน์ทางการเมืองของประชากรในเมืองผู้มีการศึกษา” ที่กำลัง “แอ๊บ” (หรือหลอก) ตัวเองว่า “ฉลาด” ฉันคือผู้ที่มีวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่กว้างไกล มองขาดกว่าคนอื่นๆ ฉันคือคนดี รักประเทศไทย เห็นว่าอะไรเป็นอะไร ใครชั่ว ใครดี แล้วเราทั้งหมดต้องทำอย่างไร เชื่อฉัน อย่าหลงไปเชื่อใคร และโปรดดด...ปฏิบัติตามที่ฉันบอก (สั่ง กล่าว ขู่ หรือด่า) ไม่เช่นนั้นประเทศชาติจะฉิบหาย และหากประเทศชาติฉิบหายขึ้นมา (โดยที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นผู้ว่า กทม.) พวกมึงนั่นแหละ ที่ไม่ยอมเชื่อ พวกมึงคือ “สาเหตุ” ที่ต้องแบกรับความผิด เพราะดันไปเลือกผู้ว่าอิสระ (พวกผู้สมัครอิสระ มึงก็ผิดและโง่เหมือนกัน มองเกมไม่ออกเหรอว่าถ้ามึงสมัคร คะแนนเสียงจะถูกเกลี่ย ทำให้ประชาธิปัตย์ไม่ชนะ) ทำให้คะแนนเสียงถูกแชร์ ถูกเกลี่ย พวกมึง ไม่ใช่คนชั่ว แต่ก็โง่ที่ไมยอมเชื่อฟัง ปฏิบัติตาม เห็นไหมล่ะ ประเทศต้องฉิบหายแน่ๆ เพราะพวกมึง ต้องโทษพวกมึง เพราะฉันบอกแล้ว และฉันก็เลือกพรรครประชาธิปัตย์แล้ว พวกมึงนั่นแหละ อยากแนว อยากเป็นตัวของตัวเอง แต่เสือกไม่ดูภาพรวม โง่ดีนัก เห็นไหมล่ะ เป็นไง เพื่อไทยครองเมืองแล้ว !!! ประเทศฉิบหายแน่ !!!
นี่คือมโนทัศน์ของผู้มีการศึกษา ที่ชอบยกตนอวดอ้างความฉลาดกว่าคนอื่นๆ รักประเทศไทยกว่าคนอื่นๆ และคนอื่นๆ ที่ไม่คิดเห็นไปตามที่พวกเขาคิดและบอก คือคนโง่ ฉลาดน้อย ไม่รักประเทศไทย (เพราะฉะนั้นประเทศนี้จึงควรมีแต่พวกเขาอยู่เท่านั้น ประเทศถึงจะเจริญ) และคนพวกนี้แหละที่จะพาประเทศชาติไปสู่ความฉิบหาย (เพราะฉลาดน้อยและอยากเป็นตัวของตัวเอง) ไม่ใช่พวกเขา ดิฉันจึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงมีความคิดเห็นบ้าๆ เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรามากมายก่อนหน้านี้ เช่น อย่างอยากให้คนที่ลงคะแนเสียงเลือกตั้งจบปริญญาตรีเท่านั้น หรือเสียภาษีมาก ลงคะแนนเสียงได้มากกว่า
และจะไม่แปลกใจเลยหากการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ชนะการเลือกตั้ง เพราะผู้สนับสนุนนั้นเป็นคน “แอ๊บ” ฉลาด ที่ได้กระทำการ “โง่ๆ” จนคนหมั่นไส้และรังเกียจจนไม่อยากจะเลือกนั่นเอง