นัดพิพากษาคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์25 มี.ค.นี้ สืบพยานครั้งสุดท้าย
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัลเบิกความไฟไหม้เพราะกองกำลังแต่งกายคล้าย
ทหาร ตำรวจยังไม่กล้ายุ่ง เผยช่วงเพลิงไหม้ทหารคุมพื้นที่ทั้งหมด9
ผู้ถูกจับกุมในที่เกิดเหตุไม่มีความสามารถวางเพลิง ด้านนายจ้าง “สายชล”
ยันวันเกิดเหตุขายของที่ห้างอิมฯลาดพร้าว
เมื่อวันที่ 28 ม.ค.56 เวลา 13.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ห้องพิจารณาคดี 405 มีการสืบพยานจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 2478/2553 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 อายุ 28 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้างและนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 อายุ 26 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้างในความผิดร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่ เก็บสินค้าจนเป็นเหตุให้นายกิตติพงษ์ สมสุขซึ่ง อยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเหตุเกิดที่ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยคดีนี้เป็นคดีเดียวกันกับกรณีผู้ต้องหา2 คนที่เป็นเยาวชนซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้พิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.55
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการสืบพยานจำเลย 2 ปากสุดท้าย คือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อายุ 61 ปี แกนนำนปช.จังหวัดชุมพร ปัจจุบันเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นนายจ้างนายสายชลจำเลยที่ 1 ที่จ้างให้ขายของที่ร้าน ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวและพ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร อายุ 72 ปี พนักงานราชการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย,เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่ง ประเทศไทยและที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนามากว่า 20 ปีในฐานะผู้ควบคุมการดับเพลิงในเซ็นทรัลเวิลด์
แกนนำ นปช.นายจ้าง “สายชล” ยันอยู่อิมฯ ลาดพร้าววันเกิดเหตุ
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ เบิกความว่าเกี่ยวข้องกับการ ชุมนุมของกลุ่มนปช.ในปี 53 นั้นทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ ความสงบเรียบร้อย ประสานงานมวลชนเสื้อแดงกับเวทีปราศรัย โดยรู้จักกับสายชล จำเลยที่ 1 จากการที่ตนเองมาปราศรัยที่สนามหลวงหลังเหตุการณ์การรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เป็นต้นมา โดยขณะนั้นตนสังกัดอยู่กลุ่มอิสระ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลขณะนั้นจัดให้มีการเลือกตั้ง นายสายชลขณะนั้นใช้สนามหลวงเป็นที่พักและมีอาชีพรับจ้าทั่วไป
เขาเบิกความต่อว่าได้เปิดร้านค้าที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวชั้น 4 เพื่อขายของกิน ของที่ระลึกของคนเสื้อแดง รวมทั้ง VCD เผยแพร่ประชาธิปไตยซึ่งเป็นเทปบันทึกการปราศรัยของแกนนำแต่ละคน และเห็นว่านายสายชล มีพฤติกรรมดี ซื่อสัตย์ จึงได้จ้างวันละ 300 บาท เพื่อมาขายของที่ร้านพร้อมยืนยันว่าในช่วงปิดล้อมการชุมนุม วันที่ 12-19 พ.ค.53พยานได้ฝากร้านค้าที่ห้างอิมฯ ลาดพร้าว ให้นายสายชลดูแล
ภาพซ้าย : ภาพที่
รปภ.ห้างเซ็นทรัลเวิลด์
มอบให้พนักงานสอบสวนและถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมโดยเจ้าหน้าที่
เชื่อว่าภาพชายชุดดำดังกล่าวคือจำเลยที่ 1 ในที่เกิดเหตุ
ภาพขวา : นายสายชล จำเลยที่ 1 ขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.53 ภาพจากเว็บไซต์มติชน
ทนายจำเลยที่ 1 ได้นำภาพที่ใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมและดำเนินคดีกับนายสายชล จำเลยที่ 1 (ดูภาพซ้ายประกอบ)ให้ พ.ต.ต.เสงี่ยม พิจารณาดูว่าเป็นนายสายชลหรือไม่นั้น พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าไม่ใช่ หลังจากนั้นทนายได้นำภาพที่นายสายชลขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.53 (ดูภาพขวาประกอบ) พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าคนในภาพนี่คือนายสายชล
พ.ต.ต.เสงี่ยม ยังได้เบิกความต่อศาลถึงความเห็นที่มีการจับกุมตัวนายสายชลด้วยว่าหลังสลาย การชุมนุม 19 พ.ค.53 นั้น ตนเองถูกผู้มีอำนาจผ่าน DSI ขอหมายจับข้อหาก่อการร้าย แต่ทราบว่าศาลไม่ได้ดำเนินการ อย่างไรก็ตามตนเองได้หลบไปต่างประเทศช่วงนั้นจึงคิดว่าในช่วงนั้นรัฐบาล พยายามที่จะตามหาตัวตนเอง การที่นายสายชลถูกจับนั้นก็อาจเป็นเพราะมีความใกล้ชิดกับตนเอง
พ.ต.ต.เสงี่ยม เบิกความต่อด้วยว่าจากประสบการณ์การเป็นตำรวจ คนเร่ร่อนหรือคนที่ที่อยู่สนามหลวง บางครั้งสายสืบก็จะใช้หรือจ้างหรือบังคับให้คนเหล่าเป็นสายสืบหาตัวผู้กระทำ ความผิดกฎหมายต่างๆ ซึ่งหากไม่ทำก็อาจมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ สำหรับนายสายชลนั้นทราบว่าเคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและเทศกิจ เช่น การไล่ร้าน แต่ตอนมาทำงานกับพยานที่ห้างอิมฯ ลาดพร้าว นั้นไม่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความโยง “ชายชุดคล้ายทหาร”
พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยและที่ปรึกษาด้าน อัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเบิกความว่า ช่วง 2เดือนที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ของ นปช. นั้นได้วางแผนป้องกันความปลอดภัยและอัคคีภัยให้กับห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยในเซ็นทรัลเวิลด์มีทีมดับเพลิงมืออาชีพที่เป็นพนักงานประจำอยู่ถึง 25 คน ดังนั้นจากประสบการณ์แล้วเห็นว่าห้างนี้มีระบบรองรับทุกอย่าง หากเกิดไฟไหม้เล็กๆ พนักงานหรือแม่บ้านก็สามารถดับได้ แต่หากเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ก็จะมีพนักงานดับเพลิงมืออาชีพคอยป้องกันอยู่ ถือได้ว่ามีระบบการป้องกันอัคคีภัยเป็นหนึ่งในเอเชียก็ว่าได้ และได้มาตรฐานระดับสากล
ทนายจำเลยที่ 1 ได้ยกข้อความของพ.ต.ท.ชุมพล ที่เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โลกวันนี้ หน้า 11 อ่านให้พ.ต.ท.ชุมพล ฟังเนื้อหาระบุว่า
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัลเบิกความต่อด้วยว่า ในห้างมีสปริงเกอร์ทุกๆ 3 เมตร แต่เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้นอยู่นอกเหนือจากความสามารถของพนักงานดับเพลิง เพราะไม่สามารถดับเพลิงได้ พนักงานดับเพลิงปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในตอนต้นที่มีคนกลุ่มแรกเข้ามา รปภ. ที่มีกว่า180 คนก็สามารถผลักดันออกไปได้ แต่เมื่อมีคนกลุ่มที่ 2 เข้ามาอีก รปภ. ได้แจ้งว่ามีการปาระเบิดเข้าใส่พนักงานจนทำให้มีคนบาดเจ็บ จึงได้มีการร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา เมื่อตำรวจเข้ามาในห้างประมาณ 25 คน ได้มีการจับกุมคนที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในห้าง ก่อนที่จะถอนกำลังออกไปเมื่อพบผู้บุกรุกชุดที่สองซึ่งมีอาวุธอยู่ด้านหน้า ของห้าง
เขาขยายความต่อว่า ชุดแรกที่เข้ามานั้นมีประมาณ 14 คน เข้ามาจาก2 ด้านคือด้านถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเซน (ZEN) ในเวลาประมาณเกือบ 14.00 น. โดยทุบกระจกเข้ามาในห้าง แต่ รปภ. ที่มีจำนวนถึง 180 คนก็ได้ไล่คนเหล่านั้นออกไปต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. จากการตรวจสอบกล้อง CCTV เห็นว่ามีกลุ่มคนชุดที่สอง ประมาณ 7-8 คน แต่งกายคล้ายทหารและมีอาวุธด้วยเข้ามาทางด้านห้างเซ็นทรัลเวิลด์รปภ. พยายามต้านทานไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาแต่กลับถูกปาระเบิดใส่ ตำรวจในเครื่องแบบเข้ามาช่วยก็ยังต้องถอนกำลังออกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายได้นำภาพผู้ถูกจับกุม 9 คนซึ่งถูกตำรวจจับกุมตัวในห้างฯ โดยนำมาจากหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 27 ซึ่ง 1 ในนั้นมีจำเลยที่ 2 (พินิจ) รวมอยู่ด้วยให้ พ.ต.ท.ชุมพล จากนั้น พ.ต.ท.ชุมพล ได้ยืนยันต่อศาลว่า 9 คนนี้เป็นพวกที่หลบอยู่ในห้างไม่มีอาวุธและไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอาวุธดังกล่าว โดยเขาได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ.ที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย
เขากล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. เศษ ทางสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยได้รับการขอร้องจากเซ็นทรัล เวิลด์อีกให้เข้าไปช่วยดับไฟแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ทหาร กว่าจะได้เข้าไปถึงพื้นที่ได้ก็เวลาประมาณ 22.00 น. และจากการตรวจสอบ CCTV จากห้างเกษรพลาซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์นั้นพบว่าเวลา ประมาณ 21.00 น. กว่าๆ ตึกก็ได้ถล่มลงมาแล้ว และพื้นที่รอบๆ นั้นถูกควบคุมโดยกองกำลังของทหารทั้งหมด แม้กระทั่งตอนออกจากห้างในช่วงเย็นทางด้านหลังห้างพารากอนก็มีทหารควบคุม พื้นที่อยู่ รถพยาบาลหรือ รปภ. วิ่งออกมาจากพื้นที่ก็ยังต้องผ่านด่านทหาร
ทนายได้ถามด้วยว่าหลังสลายการชุมนุมของ นปช. บริเวณห้างและรอบๆ นั้น จากที่พยานได้รับรายงานและประสานงานนั้นเป็นหน่วยไหนที่ควบคุมพื้นที่ พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารของ ศอฉ.
“ทีมงานเราอยู่ภายในถ้าไม่ไล่เราออกไป มันเรื่องเล็กสำหรับไฟขนาดนั้น ในอาคารมีอุปกรณ์พร้อม น้ำในห้างก็มีจำนวนมหาศาลทั้ง 3 อาคารเชื่อมต่อกัน ระบบแรงดันน้ำภายในห้างก็ใช้ได้ ถ้าไม่ไล่เราออกไม่มีทางจะไหม้ ส่วนคนที่ไล่เราออกไปนั้นคือกลุ่มคนที่มีอาวุธ มีการโยนระเบิด ขนาดตำรวจยังต้องหนี” ที่ปรึกษาฯ กล่าว
เขาเบิกความต่อว่า เมื่อออกไปแล้วก็กลับเข้ามายากมากเพราะต้องติดด่านที่ทหารตั้งอยู่ ตั้งแต่ด่านตรงเพชรบุรี สะพานหัวช้าง และถนนพระราม 1 ก็ไม่ให้เข้า เลยต้องขอเข้าด้านหลังแทน
พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความย้ำด้วยว่า “ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกที่เขาไม่เคลียร์พื้นที่ให้กับทีมดับเพลิง ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น”
ที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความภายหลังทนายได้นำภาพถ่ายที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับ นายสายชล ซึ่งเป็นรูปชายชุดำกำลังถือถังสีเขียวว่า ภาพดังกล่าวถ่ายในบริเวณห้าง ส่วนถังสีเขียวในรูปเป็นถังดับเพลิง ซึ่งในตัวห้างก็มีถังในลักษณะนี้อยู่ ยืนยันว่าไม่ใช่ถังแก๊ส และเครื่องดับเพลิงไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการวางเพลิงได้
พ.ต.ท.ชุมพลเบิกความยืนยันตอนท้ายด้วยว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งระบบการป้องกันอัคคีภัยและรายงานจากทีมดับเพลิงในที่เกิดเหตุเห็นว่า ผู้ถูกจับกุมทั้ง 9 คนที่ถูกจับในห้างนั้นไม่มีความสามารถในการวางเพลิงได้
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน ศาลได้นัดพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 25 มี.ค.53 เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้
ทั้งนี้นายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 ปัจจุบันยังคงถูกคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่หรือโรงเรียนพลตำรวจบางเขน โดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวมาตั้งแต่กลางปี 2553
ภาพทหารบริเวณแยกราชประสงค์ช่วงเพลิงไหม้และเสื้อแดงคนสุดท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ซึ่งทนายจำเลยใช้อ้างเป็นพยานวัตถุในคดี ยังมีภาพทหารสวมผ้าพันคอสีเขียวอ่อนหรือเหลืองปรากฏอยู่ในหน้า 36 และจากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ gettyimages.comซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขายภาพข่าวของช่างภาพทั่วโลกพบด้วยว่า มีภาพทหารกลุ่มผ้าพันเขียวพูดคุยกับน.ส.ผุสดี งามขำ หญิงเสื้อแดงที่นั่งอยู่หน้าเวทีราชประสงค์เป็นคนสุดท้ายในวันที่ 19 พ.ค.(คลิกดู)นอกจากนี้ผุสดียังเคยให้สัมภาษณ์กับข่าวสดรายวัน เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.53ระบุว่า หลังแกนนำมอบตัวและมวลชนออกจากบริเวณที่ชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ไปหมดแล้ว ท่ามกลางระเบิดและกระสุนที่ดังทั่วบริเวณ ตนเองยังอยู่ต่อและเห็นทหารกลุ่มหนึ่งผูกผ้าพันคอสีเหลืองได้ขอให้ออกจากที่ ชุมนุม จึงตัดสินใจออกมาพร้อมผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่มารายล้อมขอสัมภาษณ์ตลอดเส้น ทางเห็นกำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ฝั่งถนนเพลินจิตไว้ได้ทั้งหมดแต่กลับไม่มี การนำรถดับเพลิงมาดับไฟที่ลุกไหม้อยู่
รวมทั้งใน gettyimages.com ยังมีภาพ 99986251ที่จะเห็น น.ส.ผุสดีที่นั่งอยู่บริเวณหน้าเวทีสีแยกราชประสงค์(คลิกดู) และภาพ 99986642(คลิกดู), 99986816(คลิกดู) และ 99985793(คลิกดู)จะเห็นทหารกลุ่มดังกล่าวบริเวณสี่แยกราชประสงค์ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์
เมื่อวันที่ 28 ม.ค.56 เวลา 13.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ห้องพิจารณาคดี 405 มีการสืบพยานจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 2478/2553 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 อายุ 28 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้างและนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 อายุ 26 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้างในความผิดร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่ เก็บสินค้าจนเป็นเหตุให้นายกิตติพงษ์ สมสุขซึ่ง อยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเหตุเกิดที่ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งมีการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยคดีนี้เป็นคดีเดียวกันกับกรณีผู้ต้องหา2 คนที่เป็นเยาวชนซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้พิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.55
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการสืบพยานจำเลย 2 ปากสุดท้าย คือ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อายุ 61 ปี แกนนำนปช.จังหวัดชุมพร ปัจจุบันเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นนายจ้างนายสายชลจำเลยที่ 1 ที่จ้างให้ขายของที่ร้าน ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวและพ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร อายุ 72 ปี พนักงานราชการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย,เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่ง ประเทศไทยและที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนามากว่า 20 ปีในฐานะผู้ควบคุมการดับเพลิงในเซ็นทรัลเวิลด์
แกนนำ นปช.นายจ้าง “สายชล” ยันอยู่อิมฯ ลาดพร้าววันเกิดเหตุ
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ เบิกความว่าเกี่ยวข้องกับการ ชุมนุมของกลุ่มนปช.ในปี 53 นั้นทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ ความสงบเรียบร้อย ประสานงานมวลชนเสื้อแดงกับเวทีปราศรัย โดยรู้จักกับสายชล จำเลยที่ 1 จากการที่ตนเองมาปราศรัยที่สนามหลวงหลังเหตุการณ์การรัฐประหาร 19 ก.ย.49 เป็นต้นมา โดยขณะนั้นตนสังกัดอยู่กลุ่มอิสระ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลขณะนั้นจัดให้มีการเลือกตั้ง นายสายชลขณะนั้นใช้สนามหลวงเป็นที่พักและมีอาชีพรับจ้าทั่วไป
เขาเบิกความต่อว่าได้เปิดร้านค้าที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าวชั้น 4 เพื่อขายของกิน ของที่ระลึกของคนเสื้อแดง รวมทั้ง VCD เผยแพร่ประชาธิปไตยซึ่งเป็นเทปบันทึกการปราศรัยของแกนนำแต่ละคน และเห็นว่านายสายชล มีพฤติกรรมดี ซื่อสัตย์ จึงได้จ้างวันละ 300 บาท เพื่อมาขายของที่ร้านพร้อมยืนยันว่าในช่วงปิดล้อมการชุมนุม วันที่ 12-19 พ.ค.53พยานได้ฝากร้านค้าที่ห้างอิมฯ ลาดพร้าว ให้นายสายชลดูแล
ภาพขวา : นายสายชล จำเลยที่ 1 ขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.53 ภาพจากเว็บไซต์มติชน
ทนายจำเลยที่ 1 ได้นำภาพที่ใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมและดำเนินคดีกับนายสายชล จำเลยที่ 1 (ดูภาพซ้ายประกอบ)ให้ พ.ต.ต.เสงี่ยม พิจารณาดูว่าเป็นนายสายชลหรือไม่นั้น พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าไม่ใช่ หลังจากนั้นทนายได้นำภาพที่นายสายชลขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุม เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.53 (ดูภาพขวาประกอบ) พ.ต.ต.เสงี่ยม ได้ยืนยันต่อศาลว่าคนในภาพนี่คือนายสายชล
พ.ต.ต.เสงี่ยม ยังได้เบิกความต่อศาลถึงความเห็นที่มีการจับกุมตัวนายสายชลด้วยว่าหลังสลาย การชุมนุม 19 พ.ค.53 นั้น ตนเองถูกผู้มีอำนาจผ่าน DSI ขอหมายจับข้อหาก่อการร้าย แต่ทราบว่าศาลไม่ได้ดำเนินการ อย่างไรก็ตามตนเองได้หลบไปต่างประเทศช่วงนั้นจึงคิดว่าในช่วงนั้นรัฐบาล พยายามที่จะตามหาตัวตนเอง การที่นายสายชลถูกจับนั้นก็อาจเป็นเพราะมีความใกล้ชิดกับตนเอง
พ.ต.ต.เสงี่ยม เบิกความต่อด้วยว่าจากประสบการณ์การเป็นตำรวจ คนเร่ร่อนหรือคนที่ที่อยู่สนามหลวง บางครั้งสายสืบก็จะใช้หรือจ้างหรือบังคับให้คนเหล่าเป็นสายสืบหาตัวผู้กระทำ ความผิดกฎหมายต่างๆ ซึ่งหากไม่ทำก็อาจมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ สำหรับนายสายชลนั้นทราบว่าเคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและเทศกิจ เช่น การไล่ร้าน แต่ตอนมาทำงานกับพยานที่ห้างอิมฯ ลาดพร้าว นั้นไม่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความโยง “ชายชุดคล้ายทหาร”
พ.ต.ท.ชุมพล บุญประยูร เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยและที่ปรึกษาด้าน อัคคีภัยกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเบิกความว่า ช่วง 2เดือนที่มีการชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ของ นปช. นั้นได้วางแผนป้องกันความปลอดภัยและอัคคีภัยให้กับห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยในเซ็นทรัลเวิลด์มีทีมดับเพลิงมืออาชีพที่เป็นพนักงานประจำอยู่ถึง 25 คน ดังนั้นจากประสบการณ์แล้วเห็นว่าห้างนี้มีระบบรองรับทุกอย่าง หากเกิดไฟไหม้เล็กๆ พนักงานหรือแม่บ้านก็สามารถดับได้ แต่หากเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ก็จะมีพนักงานดับเพลิงมืออาชีพคอยป้องกันอยู่ ถือได้ว่ามีระบบการป้องกันอัคคีภัยเป็นหนึ่งในเอเชียก็ว่าได้ และได้มาตรฐานระดับสากล
ทนายจำเลยที่ 1 ได้ยกข้อความของพ.ต.ท.ชุมพล ที่เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์โลกวันนี้ หน้า 11 อ่านให้พ.ต.ท.ชุมพล ฟังเนื้อหาระบุว่า
"ตลอดเวลา2เดือนเต็มๆเราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมนุมมา เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักกันทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ขอบอกว่าไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารก็ไม่กล้าแตะ ถ้าแตะมันก็ต้องมีศพกันบ้างหละ แต่นี่ไม่ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่างแต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้"หลังจากนั้น พ.ต.ท.ชุมพล ได้ยืนยันต่อศาลว่าตนเองเป็นผู้พูดเช่นนั้น โดยหลังการสลายการชุมนุมได้มีคนมาสัมภาษณ์และนำไปลงในหนังสือ “คนช่วยคน” ของสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย ที่ตนเองเป็นเลขาธิการอยู่ และคาดว่าหนังสือความลับหลังฉากฯ ได้นำไปเผยแพร่ต่อ
ที่ปรึกษาอัคคีภัยเครือเซ็นทรัลเบิกความต่อด้วยว่า ในห้างมีสปริงเกอร์ทุกๆ 3 เมตร แต่เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.53 นั้นอยู่นอกเหนือจากความสามารถของพนักงานดับเพลิง เพราะไม่สามารถดับเพลิงได้ พนักงานดับเพลิงปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะในตอนต้นที่มีคนกลุ่มแรกเข้ามา รปภ. ที่มีกว่า180 คนก็สามารถผลักดันออกไปได้ แต่เมื่อมีคนกลุ่มที่ 2 เข้ามาอีก รปภ. ได้แจ้งว่ามีการปาระเบิดเข้าใส่พนักงานจนทำให้มีคนบาดเจ็บ จึงได้มีการร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา เมื่อตำรวจเข้ามาในห้างประมาณ 25 คน ได้มีการจับกุมคนที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในห้าง ก่อนที่จะถอนกำลังออกไปเมื่อพบผู้บุกรุกชุดที่สองซึ่งมีอาวุธอยู่ด้านหน้า ของห้าง
เขาขยายความต่อว่า ชุดแรกที่เข้ามานั้นมีประมาณ 14 คน เข้ามาจาก2 ด้านคือด้านถนนพระราม 1 และถนนราชดำริ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าเซน (ZEN) ในเวลาประมาณเกือบ 14.00 น. โดยทุบกระจกเข้ามาในห้าง แต่ รปภ. ที่มีจำนวนถึง 180 คนก็ได้ไล่คนเหล่านั้นออกไปต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. จากการตรวจสอบกล้อง CCTV เห็นว่ามีกลุ่มคนชุดที่สอง ประมาณ 7-8 คน แต่งกายคล้ายทหารและมีอาวุธด้วยเข้ามาทางด้านห้างเซ็นทรัลเวิลด์รปภ. พยายามต้านทานไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาแต่กลับถูกปาระเบิดใส่ ตำรวจในเครื่องแบบเข้ามาช่วยก็ยังต้องถอนกำลังออกไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายได้นำภาพผู้ถูกจับกุม 9 คนซึ่งถูกตำรวจจับกุมตัวในห้างฯ โดยนำมาจากหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 27 ซึ่ง 1 ในนั้นมีจำเลยที่ 2 (พินิจ) รวมอยู่ด้วยให้ พ.ต.ท.ชุมพล จากนั้น พ.ต.ท.ชุมพล ได้ยืนยันต่อศาลว่า 9 คนนี้เป็นพวกที่หลบอยู่ในห้างไม่มีอาวุธและไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอาวุธดังกล่าว โดยเขาได้รับการยืนยันจากหัวหน้า รปภ.ที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย
ภาพ 9 คนที่ถูกตำรวจจับกุมตัวในห้างฯจากหนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 27
พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความต่อว่า หลังจากที่ตำรวจทั้ง 25 คน
ถอนกำลังออกจากห้างไปทำให้ รปภ.และพนักงานดับเพลิงเสียขวัญกำลังใจ
จึงได้ไปรวมตัวที่จุดรวมพลตรงลานจอดรถใกล้โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์
เพื่อให้ฝ่ายบริหารห้างตัดสินใจ
เนื่องจากพนักงานเหล่านั้นไม่มีหลักประกันความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจออกจากห้างทั้งหมดในเวลาประมาณ 16.40 น.เขากล่าวด้วยว่า หลังจากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. เศษ ทางสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยได้รับการขอร้องจากเซ็นทรัล เวิลด์อีกให้เข้าไปช่วยดับไฟแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ทหาร กว่าจะได้เข้าไปถึงพื้นที่ได้ก็เวลาประมาณ 22.00 น. และจากการตรวจสอบ CCTV จากห้างเกษรพลาซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์นั้นพบว่าเวลา ประมาณ 21.00 น. กว่าๆ ตึกก็ได้ถล่มลงมาแล้ว และพื้นที่รอบๆ นั้นถูกควบคุมโดยกองกำลังของทหารทั้งหมด แม้กระทั่งตอนออกจากห้างในช่วงเย็นทางด้านหลังห้างพารากอนก็มีทหารควบคุม พื้นที่อยู่ รถพยาบาลหรือ รปภ. วิ่งออกมาจากพื้นที่ก็ยังต้องผ่านด่านทหาร
ทนายได้ถามด้วยว่าหลังสลายการชุมนุมของ นปช. บริเวณห้างและรอบๆ นั้น จากที่พยานได้รับรายงานและประสานงานนั้นเป็นหน่วยไหนที่ควบคุมพื้นที่ พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารของ ศอฉ.
“ทีมงานเราอยู่ภายในถ้าไม่ไล่เราออกไป มันเรื่องเล็กสำหรับไฟขนาดนั้น ในอาคารมีอุปกรณ์พร้อม น้ำในห้างก็มีจำนวนมหาศาลทั้ง 3 อาคารเชื่อมต่อกัน ระบบแรงดันน้ำภายในห้างก็ใช้ได้ ถ้าไม่ไล่เราออกไม่มีทางจะไหม้ ส่วนคนที่ไล่เราออกไปนั้นคือกลุ่มคนที่มีอาวุธ มีการโยนระเบิด ขนาดตำรวจยังต้องหนี” ที่ปรึกษาฯ กล่าว
เขาเบิกความต่อว่า เมื่อออกไปแล้วก็กลับเข้ามายากมากเพราะต้องติดด่านที่ทหารตั้งอยู่ ตั้งแต่ด่านตรงเพชรบุรี สะพานหัวช้าง และถนนพระราม 1 ก็ไม่ให้เข้า เลยต้องขอเข้าด้านหลังแทน
พ.ต.ท.ชุมพล เบิกความย้ำด้วยว่า “ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกที่เขาไม่เคลียร์พื้นที่ให้กับทีมดับเพลิง ตั้งแต่เย็นไม่มีใครเคลียร์พื้นที่ให้ ปล่อยให้มันไหม้ได้อย่างนั้น”
ที่ปรึกษาด้านอัคคีภัยเครือเซ็นทรัล เบิกความภายหลังทนายได้นำภาพถ่ายที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับ นายสายชล ซึ่งเป็นรูปชายชุดำกำลังถือถังสีเขียวว่า ภาพดังกล่าวถ่ายในบริเวณห้าง ส่วนถังสีเขียวในรูปเป็นถังดับเพลิง ซึ่งในตัวห้างก็มีถังในลักษณะนี้อยู่ ยืนยันว่าไม่ใช่ถังแก๊ส และเครื่องดับเพลิงไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการวางเพลิงได้
ภาพชายชุดำกำลังถือถังสีเขียวที่ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับนายสายชล
อัยการได้ซักค้านพยานด้วยว่ากลุ่มคนกลุ่มที่สองซึ่งติดอาวุธ 7-8
คนที่เข้ามาในห้างที่พยานระบุว่ามีการแต่งกายคล้ายทหารนั้นมีลักษณะอย่างไร
พ.ต.ท.ชุมพล ตอบว่าดูจากกล้อง CCTV ประกอบกับที่ได้รับการยืนยันจากหัวหน้า
รปภ. แล้วคาดว่าเป็นชุดปฏิบัติการรบในลักษณะปฏิบัติการพิเศษแน่นอน
เครื่องแต่งกายมีหมวกเหล็ก ท็อปบู๊ต ชุดพรางและมีฮู้ดปิดหน้าพ.ต.ท.ชุมพลเบิกความยืนยันตอนท้ายด้วยว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งระบบการป้องกันอัคคีภัยและรายงานจากทีมดับเพลิงในที่เกิดเหตุเห็นว่า ผู้ถูกจับกุมทั้ง 9 คนที่ถูกจับในห้างนั้นไม่มีความสามารถในการวางเพลิงได้
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน ศาลได้นัดพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 25 มี.ค.53 เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้
ทั้งนี้นายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 ปัจจุบันยังคงถูกคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่หรือโรงเรียนพลตำรวจบางเขน โดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวมาตั้งแต่กลางปี 2553
ภาพทหารบริเวณแยกราชประสงค์ช่วงเพลิงไหม้และเสื้อแดงคนสุดท้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” ซึ่งทนายจำเลยใช้อ้างเป็นพยานวัตถุในคดี ยังมีภาพทหารสวมผ้าพันคอสีเขียวอ่อนหรือเหลืองปรากฏอยู่ในหน้า 36 และจากการตรวจสอบจากเว็บไซต์ gettyimages.comซึ่งเป็นเว็บไซต์ซื้อขายภาพข่าวของช่างภาพทั่วโลกพบด้วยว่า มีภาพทหารกลุ่มผ้าพันเขียวพูดคุยกับน.ส.ผุสดี งามขำ หญิงเสื้อแดงที่นั่งอยู่หน้าเวทีราชประสงค์เป็นคนสุดท้ายในวันที่ 19 พ.ค.(คลิกดู)นอกจากนี้ผุสดียังเคยให้สัมภาษณ์กับข่าวสดรายวัน เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.53ระบุว่า หลังแกนนำมอบตัวและมวลชนออกจากบริเวณที่ชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ไปหมดแล้ว ท่ามกลางระเบิดและกระสุนที่ดังทั่วบริเวณ ตนเองยังอยู่ต่อและเห็นทหารกลุ่มหนึ่งผูกผ้าพันคอสีเหลืองได้ขอให้ออกจากที่ ชุมนุม จึงตัดสินใจออกมาพร้อมผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่มารายล้อมขอสัมภาษณ์ตลอดเส้น ทางเห็นกำลังทหารเข้ามายึดพื้นที่ฝั่งถนนเพลินจิตไว้ได้ทั้งหมดแต่กลับไม่มี การนำรถดับเพลิงมาดับไฟที่ลุกไหม้อยู่
รวมทั้งใน gettyimages.com ยังมีภาพ 99986251ที่จะเห็น น.ส.ผุสดีที่นั่งอยู่บริเวณหน้าเวทีสีแยกราชประสงค์(คลิกดู) และภาพ 99986642(คลิกดู), 99986816(คลิกดู) และ 99985793(คลิกดู)จะเห็นทหารกลุ่มดังกล่าวบริเวณสี่แยกราชประสงค์ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์
ภาพจาก หนังสือ “ความลับหลังฉาก เผาเซ็นทรัลเวิลด์” หน้า 36
วีดีโอคลิปขณะที่ทหารเคลื่อนจากเพลินจิตรเข้าสีแยกราชประสงค์
นาทีที่ 4.08 ของวีดีโอจะพบ น.ส.ผุสดี ที่นั่งถือธงอยู่บริเวณหน้าเวทีการชุมนุมที่สีแยกราชประสงค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น