"สิ่งที่มีลักษณะขัดแย้งกันเองในตัวอย่างที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้ก็คือ ทั้งๆ ที่วิธีจัดการบริหารปกครองประเทศชนิดพิลึกพิลั่นเพียงใด ดูเหมือนคนในประเทศชักจะพอใจ...
ขณะที่บทบาทของคุณทักษิณในการแต่งตั้งทางการเมือง และกำหนดนโยบายของรัฐบาล เป็นเรื่องไม่ธรรมดาโดยมาตรฐานของระบอบประชาธิปไตยในที่อื่นๆ ผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็รู้ว่าพวกเขาจะได้อะไร"
โดย
ธอมัส ฟุลเลอร์ หนังสือพิมพ์นิยอร์คไทม์ ๒๙ มกราคม ๒๐๑๓
กรุงเทพฯ
–คนนับล้านๆ
ทั่วโลกสามารถลดขอบข่ายการใช้สำนักงานด้วยการใช้ระบบสื่อสารทางไกลในการทำงานจากบ้าน
จากสนามบิน หรือไม่ว่าจากที่ใดๆ ซึ่งสามารถต่อเชื่อมกับระบบอินเตอร์เน็ตได้
แต่พรรคการเมืองที่ปกครองประเทศไทยอยู่ได้ใช้ระบบโทรคมนาคมให้เป็นประโยชน์ในมิติใหม่อย่างเต็มรูปแบบ
ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา
ด้วยการยอมรับของพรรคเอง
การตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในประเทศที่มีประชากร ๖๕
ล้านคนนี้มาจากนอกประเทศ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ซึ่งลี้ภัยตนเองมาตั้งแต่ปี ค.ศ.
๒๐๐๘ เพื่อหลบเลี่ยงข้อหาคอรัปชั่น
เจ้าหน้าที่พรรคการเมืองเล่าว่า
ทักษิณ ชินวัตร ผู้หลบหนีคดีที่โด่งดังที่สุดนี้ เดินทางรอบโลกด้วยเครื่องบินส่วนตัว
สนทนากับบรรดารัฐมนตรีของเขาด้วยโทรศัพท์มือถือ เขียนข้อความสื่อสารผ่านทางกระดานสนทนาอีเล็คโทรนิคแบบต่างๆ
และอ่านเอกสารราชการซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐส่งให้แก่เขาทางอีเมล
อาจจะเรียกการนี้ว่า
ปกครองด้วยสไก๊ป์ หรือรัฐกิจโดยเอสเอ็มเอส
(ส่งข้อความทางโทรศัพท์) หนทางที่คุณทักษิณช่วยบริหารประเทศโดยไม่ต้องถูกออกหมายจับกุมในคดีที่หลายๆ
คนเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้งเขาทางการเมือง
การกลับสู่อำนาจด้วยรีโหมดคอนโทรลที่แม้แต่บางกรณีมีข้อจำกัดด้วยความห่างไกล
เป็นการพลิกผันอันน่าทึ่งสำหรับมหาเศรษฐีพันล้านกิจการโทรคมนาคมที่ถูกโค่นล้มด้วยรัฐประหารเมื่อปี
ค.ศ. ๒๐๐๖ ซึ่งเป็นชนวนของการสั่นคลอนเป็นเวลาหลายปีระหว่างฝ่ายที่สนับสนุน
และฝ่ายคัดค้านเขา อันนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลถึงสี่ครั้ง
และการประท้วงบนท้องถนนที่มีผู้เสียชีวิตเกือบร้อย
โดยทางการแล้วยิ่งลักษณ์
ชินวัตร น้องสาวของเขาเป็นนายกรัฐมนตรี (เขาเสนอเธอเข้าสู่ตำแหน่งในปี ค.ศ. ๒๐๑๑)
แต่จากบ้านพักในดูไบ และลอนดอน จากเหมืองทองของเขาในอาฟริกา
และระหว่างการเยี่ยมเยือนประเทศในเอเซียอย่างสม่ำเสมอ คุณทักษิณ วัย ๖๓
ปีได้รวบเอาเทคโนโลยี่ด้านอินเตอร์เน็ต
และระบบสื่อสารเคลื่อนที่นำมาอนุวัฒน์เป็นกรรมวิธีบริหารปกครองประเทศชนิดที่ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด
“เราสามารถติดต่อท่านได้ทุกเวลา” จารุพงษ์
เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และเลขาธิการพรรคเพื่อไทยของคุณทักษิณกล่าว “โลกเปลี่ยนไปแล้ว
เป็นโลกไร้พรมแดน ไม่เหมือนกับเมื่อร้อยปีที่แล้วที่ยังใช้โทรเลขกันอยู่”
เพื่อแสดงให้เห็นประเด็นที่เขาอ้าง
จารุพงษ์ดึงเอาโทรศัพท์ไอโฟนของเขาออกมาปาดหน้าปัดหารายการหมายเลขโทรศัพท์ต่างๆ
ของคุณทักษิณ (เจ้าหน้าที่พรรคบอกว่าคุณทักษิณให้เบอร์โทรศัพท์แก่แต่ละคนต่างๆ กัน
โดยมักขึ้นอยู่กับระดับความอาวุโส)
“ถ้าเรามีปัญหาอะไร เราก็โทรถึงท่านได้”
คุณจารุพงษ์บอก
คุณทักษิณเองนั้นปฏิเสธที่จะให้ความเห็นแก่บทความนี้ผ่านทางโทรศัพท์
หรือสไก๊ป์
การบริหารราชการแผ่นดินรายวันนั้นตกอยู่ในความรับผิดชอบของ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้มีความคมคาย ถ่ายรูปขึ้น และอ่อนวัยกว่าคุณทักษิณถึง ๑๘ ปี
เธอออกงานพิธีตัดริบบิ้น และกล่าวปาฐกถา
บางครั้ง
น.ส.ยิ่งลักษณ์วัย ๔๕ แสดงตนว่าอยู่นอกเหนือบทบาทของพี่ชาย
ทันทีหลังจากเข้ารับตำแหน่ง
เมื่อคุณทักษิณเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ผ่านทางสไก๊ป์
ผู้สื่อข่าวถามว่าใครกันแน่ที่สั่งการรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่าเธอเองเป็นผู้มีอำนาจเต็ม
และบอกว่าคุณทักษิณเข้าร่วมประชุมเพื่อให้กำลังใจแก่รัฐบาล เธอย้ำอยู่เสมอแต่นั้นมาว่าเธอเป็นหัวหน้าควบคุมทั้งหมด
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทั้งพวกฝ่ายตรงข้าม
และผู้สนับสนุนคุณทักษิณเห็นพ้องต้องกันก็คือ
เขาเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญขั้นสุดท้าย
“ท่านเป็นผู้ที่คิดนโยบายของพรรคเพื่อไทย” นพดล ปัทมะ
เจ้าหน้าที่อาวุโสระดับสูงในพรรคของคุณทักษิณซึ่งปฏิบัติงานเป็นทนายความประจำตัวของเขาพร้อมกันไปด้วย
“เกือบจะทุกนโยบายที่ประกาศออกไประหว่างการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
มาจากท่านทั้งนั้น”
สนธิ
ลิ้มทองกุล ผู้นำขบวนการ “เสื้อเหลือง”
ซึ่งทำการประท้วงบนท้องถนนต่อต้านทักษิณหลายต่อหลายครั้งเห็นพ้องด้วยว่า “เขาเป็นคนบงการทุกสิ่ง”
“ถ้าคุณอยากได้โครงการในประเทศไทยมูลค่าเป็นพันๆ ล้านละก็
คุณต้องไปคุยกับทักษิณ”
สนธิผู้ที่ดูเหมือนจะวางมือไปในช่วงที่สภาวการณ์กำลังจะเปลี่ยนไปนี้พูดให้สัมภาษณ์ในตอนหนึ่ง
นอกเหนือจากสไก๊ปืแล้ว
คุณทักษิณยังใช้แอ็พพลิเกชั่นทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ รวมทั้ง WhatApp และ
Line สำหรับติดต่อกับแกนนำของพรรค
ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของพรรคกล่าว
มีการสนทนาผ่านสไก๊ป์หลายเรื่องที่ได้รับการรายงานเป็นข่าวออกสู่สื่อมวลชนไทย
ในเดือนนี้ก็มีวิดีโอการสนทนาของคุณทักษิณเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าการกรุงเทพมหานครออกมา
วิดีโอสนทนาหนึ่งชั่วโมงของคุณทักษิณกลายเป็นข่าวก็เพราะเจ้าหน้าที่เล่าว่า
เขาบอกแก่ลูกพรรคว่าจะส่งใครลงสมัครไม่สำคัญหรอก
แม้แต่ส่งเสาไฟฟ้าลงก็จะชนะคู่ต่อสู้
คุณทักษิณยังคงเป็นบุคคลสาธารณะสำคัญท่ามกลางปัญหาความแตกแยก
เขายังเป็นผู้ได้รับการยกย่องจากมวลชนขนาดใหญ่โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชนบทของประเทศซึ่งมอบให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีในดวงใจ
ขณะที่อีกฝ่ายอันเป็นกลุ่มชนชั้นสูงในเมืองก็ต่อต้านเขาอย่างสาดเสีย
คนพวกนี้ยังมีความหวาดหวั่นว่าเขา และพรรคของเขาจะพลิกผันสถานะเดิมที่เป็นประโยชน์แก่พวกตน
พร้อมไปกับความโกรธแค้นต่อกลวิธีผสมผสานงานบริหารรัฐกิจเข้ากับการขยายกิจการส่วนตัว
และบุคคลิกภาพการเป็นผู้นำที่เด่นครอบงำเหนือคนอื่นๆ ของเขา
แต่ว่าด้วยเหตุที่เศรษฐกิจของประเทศไทยยังดำเนินไปด้วยดีท่ามกลางความตกต่ำทั่วโลก
และไม่กระทบกระเทือนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วยังดีขึ้นกว่าก่อนเกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเสียอีก
ฝ่ายต่อต้านเขาไม่สามารถดึงคนลงไปสร้างสถานการณ์บนท้องถนนได้ ทั้งๆ
ที่รู้ดีแก่ใจว่าคนที่พวกตนพยายามมาเนิ่นนานที่จะผลักไสออกไปจากศูนย์อำนาจนั้นกำลังบงการมาจากแดนไกล
การคืนสู่อำนาจของคุณทักษิณนั้นเข้ากันได้เหมาะเจาะกับวิถีการเมืองในประเทศไทย
ซึ่งยากที่จะอธิบายให้คนภายนอกเข้าใจได้เพราะบางครั้งดูเหมือนจะยากอย่างยิ่งที่จะเป็นจริงได้
นายทหายศพลเอกคนที่เป็นหัวหน้าในการยึดอำนาจจากคุณทักษิณในปี ค.ศ. ๒๐๐๖
บัดนี้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเป็นประธานกรรมาธิการเพื่อความปรองดองแห่งชาติ
และอดีต “ราชาอาบอบนวด”
ผู้ที่สร้างความร่ำรวยจากกิจการสถานนาบนอกกฏหมายบัดนี้กลายเป็นนักต่อต้านคอรัปชั่นตัวยง
เที่ยวเปิดโปงผ่อนการพนันเป็นรายวัน
สิ่งที่มีลักษณะขัดแย้งกันเองในตัวอย่างที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้ก็คือ
ทั้งๆ ที่วิธีจัดการบริหารปกครองประเทศชนิดพิลึกพิลั่นเพียงใด
ดูเหมือนคนในประเทศชักจะพอใจ กับสิ่งที่ธิตินันท์ พงษ์สุทธิลักษณ์
ศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และนักคิดทางการเมืองของไทยที่โดดเด่นคนหนึ่งบอกว่าเป็น “การเอื้ออำนวยชนิดที่ไม่ค่อยจะอุ่นใจนัก”
“คุณจะมองเรื่องนี้ได้สองทาง คุณอาจมองว่ามันเป็นการอำพราง
เป็นสภาพที่สุดเขลา และเป็นเรื่องตลกมากมายชนิดขำไม่ออก
ที่พี่ชายเป็นคนกดปุ่มบัญชาการให้น้องสาวเป็นหุ่นเชิด”
คุณธิตินันท์ให้สัมภาษณ์ “แต่ผมก็เริ่มที่จะมองภาพที่แตกต่างออกไปบ้างแล้ว
นี่อาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะบริหารประเทศไทย”
คนไทยจำนวนมากคิดว่าน่าจะเป็นการดีต่อทั้งคุณทักษิณ
และประเทศชาติถ้าหากเขาอยู่นอกประเทศ เพื่อที่ความปักใจต่างๆ
จะไม่จุดประกายขึ้นมาใหม่อีก
รมว.
มหาดไทย จารุพงษ์บอกว่าการอยู่ห่างไกลของคุณทักษิณทำให้เขาได้รับเอาทัศนคติที่เป็นประโยชน์มากกว่า
เปรียบประดุจดังโค้ชทีมฟุตบอล (ในกรณีนี้คือคณะรัฐมนตรี)
จารุพงษ์ให้อัตถาธิบายเพิ่มเดิมของข้อดีที่มีทีมพี่ชาย-น้องสาวควบคุมสั่งการว่า
“เหมือนเรามีนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งอยู่ในประเทศ อีกคนหนึ่งอยู่นอกประเทศ
แล้วเราทำงานร่วมกัน นี่เป็นความเข้มแข็งของเรา”
ในการตัดสินใจบางอย่าง
คุณทักษิณเน้นที่จะต้องพบกันต่อหน้า เขามักเรียกให้ไปพบที่บ้านในดูไบ
หรือโรงแรมในฮ่องกง ซึ่งเขาเดินทางไปเป็นประจำ
และมันเป็นสิ่งจำเป็นในการเมืองไทยทุกวันนี้
ใครที่ต้องการตำแหน่งหน้าที่สำคัญในรัฐบาลจะต้องบินไปพบคุณทักษิณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น