"ผู้ที่ติดตามข่าวสารทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาจะไม่พบเลยว่าตุลาการ
หรือผู้พิพากษาศาลใดออกมาให้ข้อคิดเห็นตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์คดีที่ตัดสิน
ยิ่งการแถลงข่มขู่ หรือก้าวร้าวประดุจดังผู้ทรงอำนาจวิเศษสุด
หรือแม้แต่กระแนะกระแหนแบบที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญไทยกระทำเกือบจะเป็นนิสสัย ยิ่งไม่ปรากฏ"
คำตัดสินของศาลอาญาไทยให้จำคุกนายสมยศ
พฤกษาเกษมสุข ๑๑ ปี จากคดีที่เขาถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์
และหมิ่นประมาทพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นที่วิพากษ์ และโต้แย้งอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะในแวดวงสิทธิมนุษยชนนานาชาติ
นับแต่ความ
“เป็นห่วงอย่างลึกซึ้ง” (Deeply concerned) จากคณะผู้แทน และคณะทูตของสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยที่ว่า “คำพิพากษาบ่อนทำลายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชนในเรื่องเสรีภาพการแสดงออก
และเสรีภาพของหนังสือพิมพ์”
และความเป็นห่วงลึกซึ้งเช่นกันจากนางนาวี่
พิลเลย์ ข้าหลวงใหญ่สหประชาติด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งต่อคำพิพากษา
และการลงอาญาอย่างรุนแรง ว่า “ส่ง
สัญญานอันไม่บังควรแก่เสรีภาพแห่งการแสดงออกในประเทศไทย
คำพิพากษาของศาลเป็นมาตรวัดล่าสุดสำหรับแนวโน้มที่น่าวิตกของการใช้การฟ้อง
ร้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์ไทยเป็นเครื่องมือทางการเมือง”
ไปจนกระทั่งคำติติงขององค์การนิรโทษกรรมสากลที่ว่า
“เป็นการก้าวถอยหลังขั้นร้ายแรงของเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย” และคำตักเตือนขององค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ที่ว่า “คำสั่งศาลดูจะเกี่ยวข้องกับการที่สมยศสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๑๒ อย่างแข็งขัน มากกว่าจะเกี่ยวกับอันตรายใดๆ ต่อสถาบันฯ (กษัตริย์ไทย)*(1)
จากนั้นก็ปรากฏมีการตอบโต้ต่อคณะผู้แทนอียูจากผู้เรียกตัวว่า
“คนไทยคนหนึ่ง” โดยใช้นามสำหรับข้อเขียนภาษาไทยว่า Robert
Pattinzon และเจริญขวัญ บลาฮาสสกี้ ในข้อเขียนภาษาอังกฤษ
เนื้อความเน้นด้วยประโยคว่า “เพราะคนในประเทศนี้ เราไม่ยอมรับเสรีภาพในการหมิ่นประมาทสถาบันอันเป็นที่รักของเรา”
ซึ่งก็หนีไม่พ้นมีผู้เขียนจดหมายตอบกลับจาก
“คนไทยอีกคนหนึ่ง” เช่นกัน โดยผู้ใช้นาม Rood
Thanarak เขียนทั้งภาษาไทย และอังกฤษ มีเนื้อความโดยสรุปสั้นๆ
ตามถ้อยโสลกจั่วหัวที่ว่า “To protect and defend the Thai monarchy,
you must defend freedom”*(2)
แม้
จะเป็นการโต้ตอบด้วยจุดยืนที่ต่างกันลิบลับระหว่างแนวคิดลัทธิกษัตริย์นิยม
แบบโดดเดี่ยวที่เห็นว่าเสรีภาพจะมีไม่ได้ถ้าเป็นการหมิ่นประมาทสถาบัน
“อันเป็นที่รัก” ด้านหนึ่ง
กับผู้ที่ยึดหลักสากลแห่งเสรีภาพส่วนบุคคลด้วยความรอมชอมว่า
การปกป้องเสรีภาพจะเป็นคุณแก่การปกป้องสถาบันกษัตริย์ไทยไปด้วย
แต่นี่คือการโต้เถียงในอารยธรรมประชาธิปไตยที่ทั่วโลกยอมรับ และไม่ขัดข้อง
ทว่าอาการขัดข้อง
และระราน (แม้จะไม่กร้าวแข็ง) ของผู้พิพากษาระดับอธิบดีท่านหนึ่งนั่นสิ
ฉุดให้กระบวนการยุติธรรมไทยซึ่งกำลังเป็นที่เพ่งเล็งในประชาคมโลกว่าไม่เป็นกลาง
หรือลำเอียง (Un-impartial)
แล้วยังถูกตั้งข้อสังเกตุจะแจ้งว่า “รุนแรง” (Harsh) ไม่ต้องตามครรลองนิติธรรมสากล (Universal
Rule of Law)
แม้นว่าคำกล่าวหาในภาษาไทยจะผ่อนคลาย
และดูเกรงอกเกรงใจอยู่มากว่าท่าน “กร่าง”
เท่านั้นเอง
นายทวี
ประจวบลาภ
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาให้สัมภาษณ์ครั้งแรกตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลในคดีนายสมยศว่า
“ในเรื่องนี้ก็มีการพูด เเละวิจารณ์ศาลเพียงด้านเดียวว่าป่าเถื่อน ตัดสินมากเกินไป
การที่ศาลไทยตัดสินลงโทษจำคุกนายสมยศกระทงละ ๕ ปีนั้น รวม
๒ กระทงถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะอยู่ระหว่างกลางระหว่างอัตราโทษต่ำสุดของมาตราคือ ๓
ปี และสูงสุดคือ ๑๕ ปี ศาลตัดสินตามตัวบทบัญญัติกฎหมายที่มีในประเทศ”*(3)
การออกมาแก้ต่างให้กับคำตัดสินของศาลเช่นนี้
อาจถือว่าเป็นปกติในสังคมประชาธิปไตยที่ผู้พิพากษามาชี้แจงเป็นการต่างหากจากคำพิพากษาได้
แม้การอ้างเหตุผลว่าโทษที่ให้เหมาะสมแล้วเพราะเป็นไปตาม “ตัวบทกฏหมายที่มีในประเทศ” นั่นน่าจะเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง
ในเมื่อข้อวิพากษ์มีจุดมุ่งหมายที่ปลายทางว่าอัตราโทษความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
องค์มกุฏราชกุมาร ตลอดจนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้จำคุกไม่ต่ำกว่า ๓ ปี
ไม่เกิน ๑๕ ปีนั้น “รุนแรง”
เกินกว่ามาตรฐานในทางสิทธิมนุษยชนสากล
รวม
ไปถึงข้ออ้างว่าศาลยุติธรรมไม่มีหน้าที่ไปคำนึงถึงโทษว่าหนักหรือเบาเพราะ
ถือเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ
นั่นก็เป็นการปัดสวะให้พ้นตัว
ทั้งที่หากจะสาวกันไปให้ถึงปลายเหตุแล้วโทษหนักเกินกว่าทางปฏิบัติในหลัก
นิติธรรมสากลเช่นนี้เป็นผลพวงมาจากกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอันเริ่ม
แต่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี
พ.ศ. ๒๕๔๙
แล้วรัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร
คปค.
ดำเนินการแก้ไขกฏหมายอาญาหมวดที่ว่าด้วยการละเมิดต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยการเพิ่มโทษรุนแรง
และกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ เป็นผลให้ใครก็ตามสามารถฟ้องร้องใครก็ได้ด้วยกฏหมายนี้
แล้วผู้ต้องหาไม่มีทางที่จะหลุดคดี หรือพ้นโทษจองจำได้เลย
(เว้นแต่จะยอมรับสารภาพไปก่อน แล้วขอพระราชทานอภัยโทษภายหลัง)
ต่อมาท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาออกให้สัมภาษณ์อีกเป็นครั้งที่สองถึงบทความของนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ว่า “บทความนี้เป็นการดูหมิ่นศาล
ไม่ใช่การเเสดงออกทางวิชาการ เป็นการเเสดงความคิดเเบบคนไม่เข้าใจระบบ เเละจงใจดิสเครดิตศาล” เป็นผลให้นายวีรพัฒน์ นักกฏหมายอิสระเขียนคำชี้แจงว่า “ผมขอยืนยันความบริสุทธิ์ และสุจริตใจที่ผมมีต่อสถาบันตุลาการ ว่าการแสดงความเห็นของผมทั้งหมดตลอดมานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความใส่ใจ
และความคาดหวัง และศรัทธาที่ผมมีต่อสถาบันตุลาการอันต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน”
โดยคำชี้แจงของนายวีรพัฒน์มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า
“แต่เมื่อเอกสารย่อคำพิพากษามีเหตุผลที่ไม่ชัดเจน ผมจึงได้ตั้งคำถามในเชิงตรรกะตามหลักวิชาการต่อไปว่าหากศาลนำมาตรา
๑๑๒ มาเอาผิดกับผู้ตีพิมพ์บทความเพียงบทเดียวในฐานะภัยต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรได้แล้วไซร้
ก็น่าสงสัยว่าศาลกำลังเห็นว่าพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ไทยอันเป็นที่ยกย่องสรรเสริญทั่วไปทั้งใน
และต่างประเทศ แท้จริงแล้วก็สามารถถูกทำลาย และล้มครืนลงจนกระทบต่อความมั่นคงได้โดยง่าย
เพียงเพราะ 'บทความหนึ่งฉบับ' กระนั้นหรือ
และหาก 'ตรรกะ' ของ 'ศาลอาญา' เป็นดังนี้
ก็ย่อมน่าสงสัยว่าศาลกำลังดูแคลน 'พระเกียรติยศ' ของพระมหากษัตริย์ไทย อีกทั้งดูถูกสติปัญญา และวิจารณญาณของประชาชนคนไทยอย่างโจ่งแจ้งที่สุดหรือไม่” *(4)
ฤๅจะเป็นด้วยการให้เหตุผลดังข้างต้นทำให้นายทวีออกให้สัมภาษณ์อีกในวันรุ่งขึ้นว่า
“ไม่ติดใจจะถือสาหาความอีก เเละจะถือเป็นการเเสดงความคิดเห็นทางวิชาการ ซึ่งบทความในครั้งเเรกมีลักษณะที่สั้นเกิน
เเละมีความเเข็งกร้าว ” หากแต่นายทวีมิได้หยุดอยู่แค่นั้น
ท่านก้าวไปยังส่วนอื่นอันสามารถก่อการร้าวรานได้
ท่านกล่าวว่า
“เเต่ในส่วนของกรณีอื่นๆ ก็จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป อาทิกรณีของนายสมศักดิ์
เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีลักษณะเเข็งกร้าวเกินพอสมควร
มีเเนวคิดเเละบทความที่สื่อออกมาที่จะเสียหายต่อสถาบันเเละศาลรุนแรง และแข็งกร้าวมากว่านายวีรพัฒน์เป็นสิบเท่า
ซึ่งมองว่าสุ่มเสี่ยงมาก ทางศาลกำลังดำเนินการตรวจสอบ เเละพิจารณาต่อไปว่าจะออกหมายเรียกมาสอบถามหรือไม่”
นี่เป็นการแสดงกิริยาโต้ตอบด้วยความกร่างอย่างนักการเมือง
อันไม่ใช่บุคคลิกภาพอันสูงส่งตามอุดมคติแบบไทยๆ
ที่ยกย่องเทอดทูนผู้พิพากษาตุลาการประดุจผู้ทรงคุณธรรมล้ำเลิศหรือไม่
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงในสิ่งแวดล้อมของจิตสำนึกแบบประชาธิปไตยสากล
โดยส่วนตนแห่งปัจเจกชนแล้วผู้พิพากษาย่อมเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองได้ตามธรรมชาติ
ไม่เช่นนั้นคงต้องกำหนดห้ามผู้พิพากษาไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งละมัง
หากแต่ในการพิจารณาคดีความ
ผู้พิพากษาในสังคมประชาธิปไตยจักต้องเดินตามหลักกฏหมายสากลที่อิงกับหลักสิทธิมนุษยชนเหนียวแน่น
โดยเฉพาะในคดีที่เป็นความผิดอาญา และความมั่นคงแห่งรัฐ
ผู้ที่ศึกษากระบวนการยุติธรรมในประเทศอารยะจะพบว่าในการตัดสินของผู้พิพากษาบ่อยครั้งแสดงถึงความลำเอียงในทางการเมืองเรื่องพรรค
และฝักฝ่าย
ครั้นเมื่อตัดสินไปแล้ว
ผู้เสียหายยังมีความหวังได้เสมอว่าจะสามารถแก้ไขได้ในกระบวนการขั้นต่อไป
หรือทางการตรวจสอบอื่นๆ ที่ระบบการคานอำนาจอำนวยให้
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างกระบวนการศาลในสหรัฐจากกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้น
อันได้รับการวิพากษ์จากสื่อว่ามีการตัดสินอย่างเป็นฝักเป็นฝ่ายในทางการเมือง
ถึงแม้ในเนื้อหาของคดีจะไม่ได้เป็นเรื่องอาญาเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทประมุขอย่างของประเทศไทย
แต่ในแบบแผนของประชาธิปไตยน่าจะพอเป็นอุทธาหรณ์ได้ว่าผู้พิพากษาของเขาถึงจะไม่ได้เป็นกลางที่สุด
เขาก็ไม่กร่าง ไม่แอบหลัง
หรืออ้างอิงอำนาจสูงสุดอันมิอาจตรวจสอบได้อย่างผู้พิพากษาไทย
ศาลฎีการัฐบาลกลางสหรัฐในท้องที่ District of Columbia พิพากษาเมื่อวันศุกรที่
๒๕ มกราคมนี้ว่า
การแต่งตั้งกรรมการอำนวยการในคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สามคนโดยประธานาธิบดีโอบาม่าเมื่อปีที่แล้ว
“ละเมิดรัฐธรรมนูญ”
และจะเป็นผลให้การแต่งตั้งนั้น รวมไปถึงการแต่งตั้งครั้งอื่นๆ
โดยประธานาธิบดีคนอื่นๆ โดยกรรมวิธีเช่นนี้ย้อนหลังไป ๑๕๐ ปีต้องถูกยกเลิก
และคำสั่งพร้อมทั้งคำตัดสินกรณีต่างๆ
ที่คณะกรรมการอำนวยการซึ่งได้รับแต่งตั้งมาด้วยกรรมวิธีเดียวกันต้องถูกล้มเลิกเช่นกัน
คำ
ตัดสินนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองในกรุงวอชิงตันดี.ซี.
เนื่องจากผู้พิพากษาสามคนที่เป็นเสียงข้างมากในการตัดสินคดีนี้มาจากการแต่ง
ตั้งของประธานาธิบดีในสังกัดพรรครีพับลิกันทั้งสิ้น
และคดีนี้ก็เป็นคดีที่ฝักฝ่ายการเมืองด้านพรรครีพับลิกันยื่นฟ้องเพื่อทัด
ทานอำนาจอันเป็นเอกสิทธิเฉพาะตัวของประธานาธิบดีตามที่รัฐธรรมนูญให้ไว้
คือการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในด้านแรงงานในระหว่างที่วุฒิสภาอยู่ใน
ระหว่างปิดสมัยประชุมเป็นเวลานาน
วิธีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงระหว่างปิดสมัยประชุมนี้ประธานาธิบดีไม่ว่าจะพรรคไหนใช้กันมาเป็นเวลากว่าร้อยห้าสิบปี
เพื่อเลี่ยงกระบวนการถ่วงเวลาของวุฒิสภา
หรือเพื่อเอาชนะด้วยเล่ห์ในกรณีที่เสียงข้างมากในวุฒิสภาเป็นฝ่ายตรงข้ามที่พยายามค้านการแต่งตั้งของประธานาธิบดี
ในช่วงประธานาธิบดีสามสี่คนที่ผ่านมา ปรากฏว่าฝ่ายรีพับลิกันโดยประธานาธิบดี
จ๊อร์จ ดับเบิ้ลยู บุสช์ ใช้การแต่งตั้งเช่นนี้มากที่สุด
ในสมัยแรกของประธานาธิบดีโอบาม่า
พรรครีพับลิกันใช้ชั้นเชิงส่งสมาชิกสองสามคนเข้าไปในวุฒิสภา
เพื่อเคาะฆ้อนทำเสมือนเปิดสมัยประชุมทุกๆ สามวันในช่วงที่ปิดสมัยประชุมยาว ซึ่งในทางเท็คนิคถือว่าทำให้การปิดสมัยประชุมมีเพียงสั้นๆ
ครั้งละสามวัน
รัฐบาลโอบาม่าจึงแก้ลำด้วยการออกคำวินิจฉัยว่าการไปเคาะฆ้อนเปิดสมัยประชุมเพียงหนึ่งนาฑีของพรรครีพับลิกันเป็นชั้นเชิงฉ้อฉล
จึงได้จัดการใช้เอกสิทธิของประธานาธิบดีทำการแต่งตั้งดังกล่าว
พวกธุรกิจฝ่ายรีพับลิกันที่ไม่พอใจคำสั่งของกรรมการอำนวยการชุดที่ประธานาธิบดีฝ่ายเดโมแครทแต่งตั้งได้ยื่นฟ้องศาล
กระทั่งในที่สุดศาลอุทธรณ์ตัดสินออกมาว่าประธานาธิบดีใช้อำนาจผิดรัฐธรรมนูญ
แม้รัฐบาลโอบาม่าประกาศว่าจะยื่นฎีกาต่อศาลสูงสุดสหรัฐ
และมีสื่อบางฉบับวิจารณ์คำตัดสินของศาลว่าลำเอียง*(5) ก็ไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาคนใดออกมาให้สัมภาษณ์ระรานผู้วิจารณ์เหมือนศาลไทย
น่าจะเป็นเพราะทุกฝ่ายยอมรับกันว่าอำนาจแต่ละแขนงนั้นทักท้วงได้
ตรวจสอบได้ เนื่องจากไม่ว่าฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ
และฝ่ายตุลาการล้วนมีที่มาจากประชาชน ตำแหน่งประธานาธิบดีได้รับเลือกตั้งมาโดยตรงจากประชาชน
ส่วนสมาชิกวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรก็มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเช่นกัน
แม้ในบางท้องที่ หรือมลรัฐอาจมีกระบวนการอ้อมค้อมเล็กน้อย
ขณะที่ผู้พิพากษาทั้งหลายในระดับสูงอ้อมมากหน่อย
รัฐบาลแต่งตั้งแต่ต้องให้วุฒิสภาเห็นชอบ ส่วนระดับล่างต้องผ่านการอนุมัติจากการออกเสียงของประชาชนทั้งสิ้น
ผู้
ที่ติดตามข่าวสารทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาจะไม่พบเลยว่าตุลาการ
หรือผู้พิพากษาศาลใดออกมาให้ข้อคิดเห็นตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์คดีที่ตัดสิน
ยิ่งการแถลงข่มขู่ หรือก้าวร้าวประดุจดังผู้ทรงอำนาจวิเศษสุด
หรือแม้แต่กระแนะกระแหนแบบที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญไทยกระทำเกือบจะเป็นนิสสัย*(6)
ยิ่งไม่ปรากฏ จะมีก็แต่เพียงการแสดงความเห็น
หรือการวิจารณ์ปัญหาบ้านเมืองเป็นการส่วนตัว
แล้วสื่อไปแกะเก็บเอามาเสนอสร้างความเร้าใจ (Sensational) กระชากเรตติ้ง
ท่าทีของนายทวีที่ออกมาตามจวกตามจิกนักวิชาการครั้งนี้
นับเป็นการก้าวคืบหน้าอีกขั้นหนึ่งของอุบัติกรรมทางการเมืองไทยที่เรียกว่าตุลาการภิวัฒน์
หรือ Judicial
Activist ในประเทศฝรั่งตะวันตก
ที่ข้ามจากแวดวงตุลาการในองค์กรตามรัฐธรรมนูญมาสู่สายอาชีพแห่งศาลสถิตยุติธรรม
การแสดงอำนาจบาทใหญ่โดยแอบอิงพระปรมาภิไธยแห่งองค์พระประมุข
ไม่เพียงแต่ทำให้ศักดิ์ศรีของผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมล้ำเลิศดังที่มักกล่าวอ้างกันไร้น้ำยาไปแล้วเท่านั้น
ลักษณะตุลาการกร่างเช่นนี้ย่อมทำให้บุญญาบารมีแห่งองค์พระผู้ทรงเป็นบรมโพธิสมภารแห่งตุลาการไทยต้องแปดเปื้อนไปโดยใช่เหตุด้วย
*(1)
กรุณาดูคำแปลหนึ่งย่อหน้าของผู้เขียนพร้อมภาพต้นฉบับภาษาอังกฤษในเชิงอรรถท้ายเรื่อง
รัก
(ความเป็นธรรม) ข้ามขอบฟ้า ร่วม (เร่งเร้า) ปล่อยนักโทษการเมือง
และข้อความเต็มจดหมายจากผู้แทนอียูทั้งในภาษาไทย และภาษาอังกฤษที่ “รวมข่าวและแถลงการณ์จากนานาชาติกรณีศาลไทยสั่งจำคุกสมยศ
11 ปีด้วยกฎหมายหมิ่นฯ มาตรา 112"
หรือรวมปฏิกิริยาจากองค์การนานาชาติต่อคำพิพากษาสมยศที่ "ท่าทีจากอียู-ฮิวแมนไรท์วอทช์-เอไอ-องค์การแรงงาน
ต่อคำพิพากษาสมยศ"
*(2)
จากบทความเรื่อง "จดหมายตอบโต้" และ "ตอบจดหมายตอบโต้" ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไท
*(5)
ตัวอย่างบทความ http://www.nytimes.com/court-rejects-recess-appointments-to-labor-board.
และบทบรรณาธิการ
http://www.nytimes.com/a-court-upholds-republican-chicanery.
*(6)
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีที่ นปช.
ยื่นขอความชัดเจนเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องให้ทำประชามติ
ก่อนจะทำการแก้รัฐธรรมนูญในตอนหนึ่งว่า
“ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าใจ โง่จริงๆ
หรือแกล้งโง่ ถ้าแกล้งโง่ ก็ขอให้โง่จริงๆ” http://www.matichon.co.th/ใครแกล้งโง่ ใครแกล้งฉลาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น