ในทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นได้ยอมรับว่ายุทธศาสตร์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในทศวรรษที่ ผ่านไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” หรือ The Lost Decade หรือบ้างเรียกต่อเนื่อง 20 ปีเป็น The Lost Two Decades ซึ่งรวมทศวรรษ 1990s และ 2000s
ปัจจัยสำคัญที่ทางญี่ปุ่นเองได้วิเคราะห์กันว่าเป็นสาเหตุ คือ การขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การขาดภาวะความเป็นผู้นำทางการเมือง และแนวทางการพึ่งพาภาครัฐร่วมกับการใช้พื้นฐานทางกลไกตลาดไม่ประสบความ สำเร็จ
ในปี ค.ศ. 2010 กระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม (Ministry of International Trade and Industry, MITI) ได้เสนอยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตใหม่ (New Growth Strategy) โดยเน้นแนวทางการเติบโตโดยใช้อุปสงค์นำ (Demand-Led Growth) หรืออธิบายง่ายๆ ได้ว่า ที่ใดมีอุปสงค์หรือความต้องการสินค้าและบริการ ญี่ปุ่นจะมุ่งสร้างสรรค์สินค้าและบริการเพื่อไปตอบสนองอุปสงค์หรือความต้อง การที่นั่น
จากการประมาณของ MITI คาดว่ามีอุปสงค์มากกว่า 100 ล้านล้านเยน (38 ล้านล้านบาท) ในอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อม สุขภาพและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการที่มุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คน ที่ญี่ปุ่นต้องการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและบริการนี้
การเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตของญี่ปุ่น
ที่มา http://www.kantei.go.jp/
เป้าหมายหลักของประเทศตามยุทศาสตร์การเจริญเติบโตใหม่ซึ่งกระทรวง MITI
มีบทบาทหลักในการผลักดันและบังคับใช้ในทศวรรษหน้ามี 3 ประการคือ· เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเข้มแข็ง (Strong Economy)
· การคลังมีความมั่นคง (Robust Public Finances) และ
· ระบบประกันสังคมมีความเข้มแข็ง (Strong Social Security System)
โดยเน้นยุทธศาสตร์ใน 7 ในกลุ่มสาขาที่สำคัญ คือ
1. ยุทธศาสตร์ว่าด้วยนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Innovation)
2. ยุทธศาสตร์ว่าด้วยนวัตกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตและสุขภาพ (Life Innovation)
3. ยุทธศาสตร์เอเชีย (Asia)
4. ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว (Tourism-oriented nation and local revitalization)
5. ยุทธศาสตร์ว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology IT oriented nation)
6. ยุทธศาสตร์การจ้างงานและทรัพยากรมนุษย์ (Employment and Human Resources)
7. ยุทธศาสตร์ภาคการเงิน (Financial Sector)
ยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตใหม่ของญี่ปุ่นปีค.ศ. 2020
ที่มา: MITI, Japan
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสำคัญกับประเทศไทยทั้งในด้าน การเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญ ตลาดส่งออกและนำเข้าอันดับต้นๆ และเป็นนักท่องเที่ยวที่รายใหญ่ที่สุดของไทย การเข้าใจสาระสำคัญของยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นในทศวรรษหน้าจะเป็นประโยชน์อย่าง ยิ่งต่อการดำเนินยุทธศาสตร์ของประเทศไทย
ยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตใหม่ของญี่ปุ่น 7 เสาหลัก ได้แก่
1. ยุทธศาสตร์ว่าด้วยนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Innovation) ประกอบด้วย 3 โครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติ คือ
· ยุทธศาสตร์การใช้ระบบ Feed-In Tariff System โดยขยายขอบเขตการซื้อพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานหมุนเวียนผ่านระบบ Feed-In Tariff System เพื่อขยายตลาดพลังงานหมุนเวียนในญี่ปุ่น
· ยุทธศาสตร์การริเริ่มโครงการเมืองอนาคต (FutureCity Initiative) ผ่านการมุ่งเน้นลงทุนเมืองอนาคตชั้นนำของโลกโดยใช้เทคโนโลยีอนาคตที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกระทรวง MITI ได้เสนอร่างกฎหมายการส่งเสริมเมืองอนาคต (FutureCity Promotion Act) จัดตั้งความร่วมมือภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนโครงการที่มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล และสร้างระบบสำหรับคัดเลือกภูมิภาคที่มีแนวคิดนวัตกรรมสำหรับอนาคต เป็นต้น
· ยุทธศาสตร์แผนการใช้ประโยชน์จากป่าไม้และการฟื้นคืนป่า (Forest and Forestry Revitalization Plan) เพื่อให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของท้องถิ่นและการสร้าง สังคมคาร์บอนต่ำ
2. ยุทธศาสตร์ว่าด้วยนวัตกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตและสุขภาพ (Life Innovation) ประกอบด้วย 2 โครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติ
· โครงการยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคัดเลือกสถาบันการแพทย์เพื่อสนับสนุนการ ประยุกต์ใช้การรักษาสุขภาพแนวใหม่โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ ป่วยที่เผชิญกับโรคที่รักษาได้ยากและแก้ไขปัญหาความล่าช้าของการนำยาและ เครื่องมือทางการแพทย์ออกสู่ตลาด
· โครงการยุทธศาตร์การสร้างการยอมรับของผู้ใช้บริการสุขภาพจากต่างชาติ โดยสร้างชื่อเสียงให้ญี่ปุ่นเป็นแหล่งบริการสุขภาพระดับสูงและการวินิจฉัย ทางการแพทย์ในเอเชีย
3. ยุทธศาสตร์เอเชีย (Asia) ประกอบด้วย 5 โครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติ คือ
· ยุทธศาสตร์ส่งออกระบบและโครงสร้างพื้นฐาน โดยวางตำแหน่งของญี่ปุ่นให้เป็นผู้เล่นรายสำคัญในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของ โลกผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์โครงสร้างพื้น ฐานที่เพิ่มขึ้นมากในเอเชียและในภูมิภาคอื่นโดยผนวกรวมเทคโนโลยีชั้นนำและ ประสบการณ์ของญี่ปุ่นทั้งในด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน และความปลอดภัยและความมั่นคง
· ยุทธศาสตร์การลดอัตราภาษีนิติบุคคลและการส่งเสริมให้ญี่ปุ่นเป็นศูนย์กลาง อุตสาหกรรมของเอเชียเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและรักษาตลาดการจ้าง งานภายในประเทศ โดยเชิญชวนให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม สูงในญี่ปุ่น
· ยุทธศาสตร์การดึงดูดผู้มีทักษะสูงพิเศษและเพิ่มการยอมรับแรงงานทักษะสูง ตลอดจนการส่งหนุ่มสาวญี่ปุ่นออกไปเรียนต่างประเทศและยอมรับนักศึกษาต่างชาติ จำนวนมากเพื่อเข้ามาศึกษาและฝึกอบรมในญี่ปุ่น
· ยุทธศาสตร์สำหรับการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา โดยเน้นการเป็นผู้ตั้งมาตรฐานสินค้าใน 7 กลุ่มที่สำคัญ ได้แก่ การรักษาทางการแพทย์ น้ำ ยานยนต์รุ่นใหม่ รถไฟ การบริหารจัดการพลังงาน สื่อและเนื้อหา และหุ่นยนต์ นอกจากนั้นยังเน้นการส่งออกสินค้าและบริการที่เรียกว่า “Cool Japan” ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพของญี่ปุ่น เช่น เนื้อหา แฟชั่น อาหาร วัฒนธรรม ประเพณี และเพลง
· ยุทธศาสตร์การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจผ่านการทำเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก (FTAAP) โดยสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการปรับโครงสร้างสถาบันภายในอย่าง บูรณาการ
4. ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว (Tourism-Oriented Nation and Local Revitalization) ประกอบด้วย
· ยุทธศาสตร์การตั้งระบบเขตพิเศษครบวงจร (Comprehensive Special Zone System) โดยคัดเลือกและมุ่งเน้นในพื้นที่ที่มีศักยภาพในสาขาที่มีความสามารถในการ แข่งขันระหว่างประเทศและส่งเสริมนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรีอย่างเต็มที่ (Full Open Skies)
· ยุทธศาสตร์โครงการเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 30 ล้านคนโดยทำให้กระบวนการขอวีซ่าที่ให้กับชาวจีนง่ายลง และการสนับสนุนการท่องเที่ยวในวันหยุดยาว
· ยุทธศาสตร์การเพิ่มที่อยู่อาศัยและการปรับปรุงบ้านให้อยู่อาศัยสะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ
· ยุทธศาสตร์การเปิดสิ่งอำนวยความสะดวกของภาครัฐให้กับภาคเอกชนและส่งเสริมโครงการที่ใช้ทุนของภาคเอกชน
5. ยุทธศาสตร์ว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology IT Oriented Nation) ประกอบด้วย
· ยุทธศาสตร์การศึกษาชั้นนำระดับสูงและระบบอื่นๆ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศและส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ โดยพัฒนาสิ่งแวดล้อมแรงจูงใจที่ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมโดยสร้างศูนย์วิจัย และการศึกษามากกว่า 100 แห่งให้อยู่ในรายชื่อ 50 อันดับแรกในสาขาเฉพาะต่างๆ
· ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และยุทธศาสตร์การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาให้ถึงระดับร้อยละ 4 ของ GDP
6. ยุทธศาสตร์การจ้างงานและทรัพยากรมนุษย์ (Employment and Human Resources) ประกอบด้วย
· ยุทธศาสตร์การบูรณาการโรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็กบนหลักการที่ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของครอบครัว ชุมชนและสังคม และการจัดตั้งกระทรวงเด็กและครอบครัว (Ministry of Children and Families)
· ยุทธศาสตร์การริเริ่มระบบการให้คะแนนอาชีพโดยเฉพาะสำหรับอาชีวศึกษา (Career Grading System) และระบบสนับสนุนส่วนบุคคล (Personal Support System)
· ยุทธศาสตร์กรอบแนวคิดใหม่สำหรับบริการสาธารณะ (New Concept of Public Service) โดยเพิ่มบทบาทให้กับทุกคนในสังคมในการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อื่น
7. ยุทธศาสตร์ภาคการเงิน (Financial Sector) โดยยุทธศาสตร์หลักคือการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์บูรณาการกับการเงินและการค้า โภคภัณฑ์ (Integrated Exchange Handling Securities, Financing and Commodities)
บทสรุป
ในปัจจุบัน ประเทศไทยเริ่มวางยุทธศาสตร์บูรณาการในระยะ 10-15 ปี โดยมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ใน 3 เสาหลัก คือ ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) การเติบโตแบบทั่วถึง (Inclusive Growth) และการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Growth) ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่ทิศทางยุทธศาสตร์ใหญ่ของไทยได้บูรณาการทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับทิศทางใหญ่ของโลกและยุทธศาสตร์ของประเทศที่สำคัญ ประเด็นท้าทายที่สำคัญคือการผลักดันและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ อย่างเป็นระบบและจริงจัง เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เข้าสู่ The Lost Decade หรือ The Lost Two Decades ทั้งที่ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นการย้ำอยู่กับที่หรืออาจถอยหลังเข้าคลองหากมีแต่วิสัยทัศน์และ ยุทธศาสตร์ที่ดีเลิศแต่ขาดการปฏิบัติที่แท้จริง
ความสามารถในการปรับตัว ความเป็นมืออาชีพและความสามารถในการทำให้งานสำเร็จเป็นกุญแจสำคัญในการขับ เคลื่อนนโยบาย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องยอมที่จะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน หลีกเลี่ยง Short-term gain, Long-term Loss ถ้าโชคดีและทำงานหนักพอ เราอาจจะสามารถก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปได้ แต่บทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากญี่ปุ่น เป็นบทเรียนที่เตือนใจเราว่าแม้เราจะสามารถก้าวเข้าสู่ประเทศรายได้สูงหรือ ประเทศชั้นนำได้ เราก็ยังมีความท้าทายใหม่ๆ สำหรับประเทศให้เผชิญอีก และญี่ปุ่นได้สอนเราผ่านแนวคิดประจำชาติอย่างเช่นแนวคิดไคเซ็น (Kaizen) ว่าหัวใจสำคัญคือ การมีหลักคิดในการดำเนินชีวิตหรือจิตสำนึกว่าจะต้องทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นตลอดเวลา (แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม) เพื่อมุ่งสู่คุณภาพที่สูงขึ้น ดังที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามผลักดัน New Growth Strategy ในทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น