ก่อนหน้านี้มีนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ของ นิด้า และธรรมศาสตร์บางส่วน ลงชื่อกันคัดค้านไม่เห็นด้วยกับนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่ามีการรั่วไหลของงบประมาณไปในแต่ละขั้นตอนจำนวนมาก และได้ไม่คุ้มเสีย ชนชั้นกลางในเมืองจำนวนมากแสดงความไม่เห็นด้วยต่อนโยบายนี้เช่นกันโดยให้ เหตุผลว่า พวกเขาเสียภาษีจำนวนมากเพื่อมาอุ้มชูเด็กที่เลี้ยงไม่รู้จักโต ซึ่งเด็กในความหมายนี้ก็คือ ชาวนา...
เวลานักเศรษฐศาสตร์ หรือคนเมืองออกมาพูดว่านโยบายไม่ดี รั่วไหล มีการคอรัปชั่น สูญเสีย ไม่ได้ประโยชน์ สิ่งที่อ้างถึงมักจะเป็นตัวเลขงบประมาณ ราคา ปริมาณข้าว และหลักเกณฑ์ปฏิบัติของการจำนำ เรื่อยไปถึงปริมาณความต้องการของตลาดโลก แต่ที่น่าแปลกมากๆ คือ เราไม่เคยไปถามชาวนา หรือสนใจข้อมูลของชาวนาเพื่อนำมาอ้างอิง เป็นเหตุผลว่าเราควรเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ แม้มีข่าวว่าชาวนาท้า “ดีเบต” กับอาจารย์มหาวิทยาลัย อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ดูเหมือนจะไม่เอาด้วย โดยให้เหตุผลทำนองว่าพูดกันคนละภาษา...
ไปอีสานคราวนี้จึงได้ถือโอกาสไปคุยกับชาวนาด้วยความตั้งใจที่จะฟังเสียง ที่ไม่ใคร่จะได้ยิน นอกจากปรากฏการณ์รถขนข้าวต่อคิวยาวเหยียดเพื่อรอจำนำข้าวแล้ว ยังพบว่าหมู่บ้านในเขตเทศบาลที่มีถนนคอนกรีตตัดผ่านภายในหมู่บ้าน ได้กลายเป็นลานตากข้าวเรียงรายไปตลอดทาง ยังไม่นับรวมถนนลาดยางตามหมู่บ้านนอกเขตเทศบาล
ที่น่าสนใจมากก็คือใน เขตเทศบาล บ้านหลังใหญ่ รูปทรงสวยงามสมัยใหม่ มีรั้วรอบแข็งแรงยังประกอบอาชีพ “ทำนา” หมู่บ้านที่ผมไปเยี่ยมบัณฑิตอาสาสมัคร อยู่ในตำบลเปือย อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ ภายในหมู่บ้านมีไฟฟ้า ประปา ถนนคอนกรีต และร้านค้า ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์มองไม่เห็นความกันดารยากลำบาก โดยทั่วไปก็คาดเดาได้ว่าคนในหมู่บ้านไม่น่าจะมีอาชีพหลักทำนา แต่ที่น่าแปลกมากเมื่อพบว่าทุกบ้านนำข้าวเปลือกมาวางตากแดดไล่ความชื้น เพื่อเตรียมนำไปจำนำกับโรงสีหน้าหมู่บ้าน
ประโยคเหล่านี้ทำให้ผมคิดได้ว่า ในแวดวงวิชาการ เรานิยามอาชีพด้วยรายได้หลัก และเวลาใช้ไปกับการทำงานส่วนใหญ่ใช้ไปกับงานอะไร จะถือว่านั่นคืออาชีพหลัก แต่สำหรับชาวบ้านไม่ใช่ อาชีพหลักเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขทางสังคมมากมาย เป็นประสบการณ์ เป็นรากเหง้าของบรรพบุรุษ เป็นพื้นที่ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์มากมาย ทั้งโรงสี ร้านค้าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ธกส. เพื่อนบ้านที่มาลงแรงเกี่ยวข้าวร่วมกัน เรื่อยไปถึงนโยบายพรรคการเมือง และนักการเมือง ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ภาษาทางวิชาการและภาษาของชาวบ้าน ชาวนา จึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อไรก็ตามที่ผมพานักศึกษาไปชนบท ชาวบ้านมักจะบอกว่าอาชีพหลักของเขาคือทำนา ทั้งที่หาหลักฐานเชิงประจักษ์แบบใด ๆ แล้วก็ไม่อาจเชื่อได้ว่า รายได้จากการทำนาเป็นรายได้หลัก และยิ่งทำนาครั้งเดียวในรอบ 1 ปี ยิ่งทำให้ตัดสินใจไม่ได้ว่า ตกลงอาชีพหลักของชาวบ้านคืออะไรกันแน่ เมื่อเรานิยามแบบในตำราโดยไม่ได้สนใจคำนิยามแบบชาวบ้าน
เมื่อการทำนาเป็นวิถีชีวิต เป็นอะไรที่มากกว่าอาชีพในนิยามของนักวิชาการ นโยบายรับจำนำข้าว จึงมีความหมายต่อชาวนามากกว่าการเพิ่มรายได้ อย่างที่เราไม่สามารถจะเข้าถึงความหมายแบบนั้นได้เลย ถ้าเราไม่ได้เป็นชาวนา หน้าโรงสีที่รับจำนำข้าวหลายแห่ง ปรากฏป้ายหาเสียงของ ส.ส. ประจำเขต ประกาศตัวว่าสนับสนุนนโยบาย มีการสวมทับนโยบายให้ชาวบ้านเข้าใจว่า การจำนำข้าวที่ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นมากเช่นนี้ คือนโยบาย “ประกันราคา” ชาวบ้านหลายที่โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์จึงสับสนเรียก นโยบายจำนำข้าวว่า “ประกันราคาข้าว” นี่เป็นภาพสะท้อนเล็ก ๆ ว่า การทำนา ไม่ใช่มีเพียงมิติทางด้านเศรษฐศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว
ขณะที่คนเมืองกำลังมองชาวนาด้วยความดูแคลนว่า “เลี้ยงไม่โต” และบอกให้ชาวนาหันมาปลูกข้าวอินทรีย์ปลอดสารพิษ มีชีวิตความเป็นอยู่แบบพอเพียง ละเลิกอบายมุข และถือศีลอดเหล้า งดบุหรี่ มีคุณธรรมในขณะที่ทำนา เพราะข้าวที่ออกมาจะเป็น ข้าวมีศีลธรรมติดมาด้วย
ในสังคมชนบท ชาวนากำลังยกสถานะทางสังคมขึ้นมาเทียมหน้าเทียมตาข้าราชการในท้องถิ่น เป็นลูกหนี้ชั้นดีของ ธกส. เป็นผู้บริโภคในตลาดสินค้า และบริการจากการจับจ่ายใช้สอย และเริ่มอยากจะให้ลูกหลานที่ไปทำงานในกรุงเทพกลับมาทำนา ทั้งยังบอกด้วยว่า เสียเงินส่งให้ไปเรียน เรียนจบแล้วก็ไปเป็นลูกจ้างเขา เงินไม่พอใช้ก็มาขอแม่ (ที่เป็นชาวนา) รู้แบบนี้ให้มาเป็นชาวนายังดีกว่า...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น