หลายท่านคงได้รับฟอร์เวิร์ดอีเมล์บ้าง ใบปลิวบ้าง
มีการแท็กข้อความจากบรรดาคนที่กล่าวหาว่าคนไทยใช้น้ำมัน
ใช้ก๊าซแพงกว่าประเทศต่าง ๆ บ้าง รัฐบาลโกงบ้าง ปตท.โกงบ้าง
แถมยังมีการเอาไปโพสต์ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ แต่ประชาคมเว็บบอร์ดต่าง ๆ
ไม่ค่อยให้ค่ากับความเห็นเหล่านี้หรอกครับ
เพราะพวกนี้ถนัดแต่ยัดเยียดข้อมูลเอียง ๆ
และผิดแม้แต่ข้อมูลพื้นฐานแล้วจากไป[1]
เอาง่าย ๆ ในเว็บไซต์[2]
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอ้างว่าก๊าซแอลพีจีที่คนไทยใช้มาจาก (1)
แหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ 55% (2) จากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ 23% และ (3)
จากการนำเข้า 22% จากนั้นตั้งคำถามว่า “นำเข้า LPG แค่ 22% แต่จะขายราคานอก
100% เป็นธรรมหรือเปล่า”
แต่ก๊าซที่ได้จาก “โรงกลั่นน้ำมันในประเทศ”
ก็คือก๊าซที่แยกจากน้ำมันดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด
(ก็ประเทศไทยมีน้ำมันของตัวเองเท่าไรล่ะครับ ถึง 10% ของที่เราใช้มั้ย)
ความจริงจึงต้องบอกว่า เรา “นำเข้า” ก๊าซ 40-45% มากกว่า จริงมั้ย
ข้อมูลง่าย ๆ แค่นี้ยังบิดเบือนได้
ในส่วนของข้อเสนอ มูลนิธิฯ บอกว่า
ให้เอาก๊าซที่เราผลิตได้เองมาให้ภาคครัวเรือนและยานยนต์ใช้
เหลือแล้วจึงให้ภาคอุตสาหกรรมใช้
“หากไม่เพียงพอให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้รับภาระในการนำเข้าเอง” ส่วนข้อ 2
“รัฐบาลควรหยุดนโยบายปรับขึ้นราคาแอลพีจีกับภาคครัวเรือนและภาคยานยนต์”
เป็นไปตามเหตุผลของข้อเสนอที่ 1 (เพราะเราผลิตก๊าซได้เองตั้งเยอะ)
แต่จากตัวเลขข้างบนแสดงว่า เรานำเข้าก๊าซอย่างน้อย ๆ ก็ 40% แล้ว
และแนวโน้มการใช้ก๊าซเพิ่มสูงขึ้น ไม่เฉพาะปิโตรเคมีหรอกครับ
ยานยนตร์และภาคครัวเรือนก็ขยายตัว 15% และ 13.7 % ตามลำดับ
(บริโภครวมกันเกินครึ่งหนึ่งของก๊าซทั้งหมด) (โพสต์ทูเดย์ 24 ตุลาคม 2555[3])
การไม่ปรับราคาก๊าซให้สะท้อนราคาตลาดโลก
มันก็เหมือนกับสถานการณ์ที่ผ่านมาเป็นสิบปี คือรัฐอุดหนุนราคา
เป็นการบิดเบือนโครงสร้างการใช้พลังงาน
ปริมาณการใช้ก๊าซกืเพิ่มมากขึ้นทุกปี จนสุดท้าย
เราต้องเริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติ
กลายเป็นภาระทำให้ผู้ใช้น้ำมันต้องมาอุ้มผู้ใช้ก๊าซ
ผมมองไม่ออกว่าเป็นข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อสมมติฐานมันผิดตั้งแต่ต้น
ความคิดเรื่องลดการอุดหนุนราคาก๊าซมีมาตั้งนานแล้ว เอาง่าย ๆ
ที่ผ่านมาถ้าน้ำมันแพง คนก็ไปใช้ก๊าซเพื่อการขนส่งมากขึ้น
เอาก๊าซหุงต้มไปเติมรถก็มี
และที่สำคัญการอุดหนุนราคาจะทำให้ผู้ประกอบการ/ผู้บริโภคไม่ประหยัด
ไม่พัฒนาการผลิตหรือ บริการให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนอื่น ๆ
ให้แข่งขันในตลาดได้ ที่สำคัญ
พวกรณรงค์เรื่องราคาก๊าซคิดว่า ก๊าซมันงอกขึ้นมาจากแผ่นดินของเราเอง
เขาคงคิดว่ามันเหมือนการปลูกข้าว หว่านเมล็ดลงไปเท่าไรก็ได้ผลออกมาเท่านั้น
เขาไม่เข้าใจว่าถึงเป็นก๊าซของเราเอง มันก็มีต้นทุนการผลิต ขนส่ง
ในการสำรวจขุดเจาะ มันมีความเสี่ยงว่าจะเจอหรือไม่เจอ และเจอมากน้อยแค่ไหน
กี่ปี ถึงเป็นก๊าซของเราเอง มันก็มีต้นทุนเหมือนก๊าซในตลาดโลกระดับหนึ่ง
จะให้เอามาขายราคาถูก ๆ ทำได้ แต่ต้องอุดหนุนราคาเหมือนเดิม
ถ้าลด การอุดหนุนราคาก๊าซ แน่นอน ปตท.+ปตท.สผ.และบริษัทที่เกี่ยวข้องย่อมได้รับประโยชน์แน่ ๆ จาก margin หรือผลต่างระหว่างราคากับต้นทุนที่มากขึ้น และราคาหุ้นที่พุ่งทะยาน เพราะโครงสร้างมันผูกขาดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งผลิตเอง ส่งเอง และขายเอง ผมเห็นด้วยว่าตรงนี้ไม่เป็นธรรม แต่การตรึงราคาก๊าซต่อไป ก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเหมือนกัน ต้องแก้ที่โครงสร้างการสำรวจ ขุดเจาะ ผลิต ขนส่งและจัดจำหน่ายพลังงานไม่ให้มีการผูกขาดจากบริษัทเดียว
ถ้าลด การอุดหนุนราคาก๊าซ แน่นอน ปตท.+ปตท.สผ.และบริษัทที่เกี่ยวข้องย่อมได้รับประโยชน์แน่ ๆ จาก margin หรือผลต่างระหว่างราคากับต้นทุนที่มากขึ้น และราคาหุ้นที่พุ่งทะยาน เพราะโครงสร้างมันผูกขาดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งผลิตเอง ส่งเอง และขายเอง ผมเห็นด้วยว่าตรงนี้ไม่เป็นธรรม แต่การตรึงราคาก๊าซต่อไป ก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเหมือนกัน ต้องแก้ที่โครงสร้างการสำรวจ ขุดเจาะ ผลิต ขนส่งและจัดจำหน่ายพลังงานไม่ให้มีการผูกขาดจากบริษัทเดียว
แต่ก็ต้องยอมรับว่าในเมื่อกำไร 60%
ของปตท.ส่งเข้ารัฐในรูปภาษีและเงินปันผล
และหน่วยงานของรัฐและกองทุนอย่างเช่น
สำนักงานประกันสังคมก็ได้รับประโยชน์จากการถือหุ้นปตท.รัฐก็ได้รับประโยชน์
เช่นกัน แต่ถ้ามองว่ารัฐและนักการเมืองมันโกงหมด ก็จบเห่
คนที่รณรงค์เรื่อง ปตท.ขายน้ำมันแพง ทราบไหมว่า อย่างน้อยในปี 2554
ปตท.มีกำไร 1.05 แสนล้านบาท นำส่งรัฐ 63,000 ล้านบาท (ภาษีเงินได้นิติบุคคล
39,000 ล้านบาท + เงินปันผล 24,000 ล้านบาท) หรือประมาณ 60% ของผลกำไร
ส่วนสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
คิดเฉพาะรายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ในปี 2554 จำนวน 2,700 ล้านบาท
(ข้อมูลจากรายงานประจำปีของสนง.ฯ เอง) กับเงินปันผลจากธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (722,941,958 หุ้น x 3.50 บาท = ประมาณ 2,500 ล้านบาท)
และบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (360,000,000 หุ้น x 12.50 บาท = 4,500 ล้านบาท)
อีกกว่า 7,000 ล้านบาท สรุปว่าปี ๆ หนึ่งเอาเฉพาะที่เห็น ๆ
สำนักงานทรัพย์สินฯ มีรายได้เกือบ 10,000 ล้านบาท
แต่สำนักงานทรัพย์สินฯ ไม่เคยส่งเงินเข้ารัฐเลยสักบาทเดียว
ถามว่าเป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือประชาชนมั้ย
ถามว่ามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นักปราบโกงทั้งหลาย
เคยคิดจะตรวจสอบสำนักงานทรัพย์สินฯ ที่ทำตัวเป็น “รัฐในรัฐ” และ “โกง”
ยิ่งกว่า ปตท.อีกมั้ย
คงไม่หรอก เพราะสำนักงานทรัพย์สินฯ เขาอุตส่าห์เสียเงินเป็นล้าน[4] เพื่อซ่อมแซมอาคารของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิงูเห่าไม่กัดชาวงนาหรอก อิอิ
[3] http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94/184177/%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88-6%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99
[4]
“ส่วนความเสียหายของอาคารสำนักงานหลังเก่าจากเหตุเพลิงไหม้
วิศวกรโยธาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ประเมินว่าแม้โครงสร้างความมั่นคงของอาคารยังมีความปลอดภัย ไม่ต้องทุบทิ้ง
แต่ก็เสียหายไปเกือบ 5.2 ล้านบาท ต้องปรับปรุงระบบต่างๆ ใหม่ทั้งหมด
แบ่งเป็น ระบบโครงสร้างอาคาร 2.2 ล้านบาท ระบบไฟฟ้า การสื่อสาร 2.2 ล้านบาท
ระบบประปา 6.7 แสนบาท และระบบสุขาภิบาล 1 แสนบาท”
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000081469
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000081469
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น