แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: แลกเปลี่ยนกับเกษียร เตชะพีระ ต่อบทบาทของทีดีอาร์ไอ

ที่มา ประชาไท


อาจารย์เกษียร เตชะพีระ ได้เขียนบทความเรื่อง “ปัญหาของขวาไทยในปัจจุบัน” ตีพิมพ์ในมติชนรายวัน วันที่ 7 ธันวาคม 2555 และเรื่อง “กระบวนการกำหนดนโยบายของไทย - ที่มา ที่เป็นและที่ไป” ตีพิมพ์ในมติชนรายวัน วันที่ 14 ธันวาคม 2555 บทความทั้งสองมีเนื้อหาคล้ายคลึงกันมากจนคล้ายการตีพิมพ์ซ้ำ โดยส่วนที่คล้ายกันดังกล่าวมีเนื้อหาวิจารณ์สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ใน 2 ประเด็นคือ
หนึ่ง ทีดีอาร์ไอเป็นพวกที่เชื่อในตลาดเสรี แม้ว่าอาจารย์เกษียรไม่ได้เขียนตรงๆ ในบทความทั้งสองว่า ทีดีอาร์ไอเป็น  “ฝ่ายขวา” แต่การนำเอาทีดีอาร์ไอไปกล่าวรวมกับกลุ่มคนที่อาจารย์เรียกว่า “ฝ่ายขวา” ทำให้ผู้อ่านส่วนหนึ่งก็เกิดความรู้สึกว่า อาจารย์เหมารวมเอาทีดีอาร์ไอเป็น “ฝ่ายขวา” ไปด้วย  
สอง ทีดีอาร์ไอ ขยายบทบาทเชิงผลักดันหรือต่อต้านนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล จนทำให้ระบบปั่นป่วนผิดฝาผิดตัว เพราะ “สถาบันวิจัยเชิงวิชาการก็กลับกลายเป็น policy lobbyist ไปเสียฉิบ” และเสนอว่า “สถาบันวิจัยก็ (ควร) จะได้ทุ่มเทค้นคว้าวิจัยข้อมูลทางเลือกเชิงนโยบายต่างๆ แทนที่จะแปรบทบาทตนเองเป็นกลุ่มรณรงค์กดดันต่อต้านนโยบาย”
ในฐานะผู้บริหารของทีดีอาร์ไอ  ผมใคร่ขอแลกเปลี่ยนกับอาจารย์เกษียรและผู้อ่านใน 2 ประเด็น ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะดังนี้   
ประการที่หนึ่ง  ผมเห็นว่า การเอาฉลาก “ขวา” หรือ “ซ้าย” ไปแปะใส่บุคคลหรือองค์กรหนึ่งๆ แทนที่จะถกเถียงกันเรื่องประเด็นด้านนโยบายแต่ละเรื่อง น่าจะไม่มีประโยชน์นัก เพราะการเป็น “ขวา” หรือ “ซ้าย” ทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจเป็นเพียงการสะท้อนจุดยืนของตัวผู้แปะฉลาก ซึ่งในที่นี้คือตัวอาจารย์เกษียรเอง เปรียบเทียบกับผู้ถูกแปะฉลากมากกว่าที่จะสะท้อนคุณภาพหรือคุณค่าอะไรที่มากไปกว่านั้น
ในความเห็นของผม การเหมาเอาว่าทีดีอาร์ไอเป็น “ฝ่ายขวา” เป็นเรื่องที่ออกจะแปลกอยู่ เพราะในฐานะองค์กรทางวิชาการ เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของอาจารย์เกษียร เราไม่เคยกำหนดว่า นักวิจัยแต่ละคนจะต้องมีความเชื่ออย่างไร   ตราบเท่าที่การวิเคราะห์และข้อเสนอทางนโยบายของเขามีหลักฐานทางวิชาการและข้อมูลรองรับ
อันที่จริง ที่ผ่านมา นักวิจัยของเราหลายคนได้พยายามผลักดันให้เกิด การปฏิรูปภาษีและการใช้จ่ายของรัฐเพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม   สนับสนุนให้ใช้ระบบสวัสดิการสังคมในการแก้ไขปัญหาคนจน ไม่สนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดตลาด และมีท่าทีอย่างระมัดระวังต่อระบบทรัพย์สินทางปัญญา ฯลฯ    ในด้านเกษตร เราไม่ได้ปฏิเสธการแทรกแซงตลาดโดยรัฐ แต่เสนอให้ใช้แนวทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายน้อยลงและให้ประโยชน์ตกถึงมือเกษตรกรกลุ่มที่ยากจนจริงๆ มากขึ้น ท่าทีดังกล่าวน่าจะสะท้อนถึงความเชื่อของนักวิจัยหลายคนในทีดีอาร์ไอที่ว่า รัฐและตลาดต่างมีข้อจำกัดในตัวเอง ไม่สามารถเป็นคำตอบในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในทุกๆ เรื่องได้  แต่ต้องผสมผสานกันและในหลายกรณีก็ต้องใช้กลไกอื่น เช่น ชุมชนและกลไกทางสังคมประกอบด้วย ผมคิดว่า ท่าทีเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่พวก “ฝ่ายขวา” ชื่นชอบนัก   
ผมเชื่อว่า การถกเถียงทางวิชาการอย่างมีคุณภาพในแบบที่อาจารย์อยากเห็น น่าจะเกิดขึ้นจากการศึกษาความคิดของกันและกันอย่างจริงจัง โดยวิเคราะห์ว่า ข้อเสนอของแต่ละฝ่ายในแต่ละเรื่อง จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้หรือเสียประโยชน์อย่างไร และจะสามารถตรวจสอบข้ออ้างของแต่ละฝ่ายด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์กันได้อย่างไร  มากกว่าการติดฉลากว่าใครเป็น “ขวา” หรือ “ซ้าย” แบบเหมาเข่ง
ประการที่สอง ผมไม่เห็นว่า การวิจัยและการดำเนินการต่างๆ ของทีดีอาร์ไอในปัจจุบัน จะทำให้ระบบในการกำหนดนโยบายปั่นป่วนผิดฝาผิดตัว หรือทำให้เรากลายเป็น policy lobbyist ตามความหมายที่ใช้กันทั่วไปในประเทศไทยแต่อย่างใด   เพราะทีดีอาร์ไอไม่มีนโยบายที่จะโน้มน้าวนักการเมืองหรือข้าราชการให้กำหนดนโยบายเพื่อกลุ่มผลประโยชน์ (interest group) ใด ถ้าจะมีสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำ ว่า “ล็อบบี้” มากที่สุดก็คือ การให้ข้อมูลแก่ประชาชน โดยยึดประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง เพราะในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนในฐานะพลเมืองย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพื่อลงคะแนนเสียงเลือกตั้งและติดตามการทำงานของรัฐบาล  
นอกจากนี้ ทีดีอาร์ไอไม่มีแนวทางที่จะฟ้องร้องหน่วยงานใดเพื่อกดดันทางนโยบาย และไม่คิดที่จะล้มรัฐบาลไหนๆ เราตระหนักดีว่า เราเป็นสถาบันทางวิชาการที่ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะสามารถโน้มน้าวรัฐบาล สื่อมวลชนและประชาชนให้เห็นคล้อยตามแนวคิดของพวกเราได้ นอกจากพลังแห่งเหตุผลทางวิชาการ ที่มีข้อมูลจากการวิจัยรองรับ ตลอดจนความเชื่อถือที่สังคมมอบให้แก่เราว่า เรานำเสนอข้อเสนอทางนโยบายต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง โดยไม่มีผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น