กล่าวโดยสรุป กลุ่มอาคารศาลฎีกา มิได้มีสถานะเป็นเพียงแค่ตึกอาคารราชการที่เอาไว้ให้เจ้าหน้าที่ศาลนั่งทำ งานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองสมัยใหม่ ของไทย และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์พัฒนาการทางศิลปะและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ใน ประเทศไทย
จากความสำคัญดังกล่าว สมาคมสถาปนิกสยามจึงได้ประกาศมอบรางวัลอาคารควรค่าแก่การอนุรักษ์ เมื่อปี พ.ศ. 2550 และรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นในปี พ.ศ. 2552 นอกจากนี้ กรมศิลปากรยังได้มีหนังสือยืนยันไปยังศาลตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2552 ว่า กลุ่มอาคารศาลฎีกาเป็นโบราณสถานตามนิยามที่กฏหมายกำหนด และหากมีการรื้อถอนหรือเปลี่ยนแปลงจำเป็นจะต้องได้รับการอนุมัติจากกรม ศิลปากรก่อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อราวต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้เริ่มดำเนินการรื้อถอนอาคารในส่วนด้านที่ติดกับคลองคูเมืองเดิม โดยเริ่มจากการรื้อถอนภายใน (ภาพที่ 2 และ 3) และจากการสอบถามจากช่างที่กำลังรื้อถอนอาคารอยู่ ได้ทราบว่า โครงการรื้ออาคารทั้งหมดในส่วนนี้มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 4 เดือน (ประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายนปี พ.ศ. 2556)
- เป็นการทำลายอนุสรณสถานแห่งความทรงจำทางประวัติศาสตร์ว่าด้วยการได้
เอกราชสมบูรณ์ทางการศาลของประเทศไทย
ซึ่งกลุ่มอาคารชุดนี้ถือว่าเป็นถาวรวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่ถูกสร้างขึ้น
เพื่อเฉลิมฉลองจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมที่สำคัญยิ่งของ
ประเทศไทยในครั้งนั้น
- เป็นการทำลายมรดกทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมในยุคคณะราษฎร
ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงออกถึงอุดมคติใหม่ทางการเมืองว่าด้วยประชาธิปไตยใน
ยุคหลังปฏิวัติ 2475
ซึ่งไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามกับคุณค่าทางศิลปะของงานยุค
สมัยนี้
แต่เราย่อมไม่อาจปฏิเสธถึงคุณค่าในเชิงการเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่
สำคัญยิ่งของกลุ่มอาคารหลังนี้ได้อย่างแน่นอน
- เป็นการทำลายมรดกสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ (Modern Architecture)
ซึ่งกำลังได้รับความสนใจในการอนุรักษ์มากขึ้นๆ ในระดับสากล ในฐานะที่เป็น
Industrial Heritage เนื่องจากรูปแบบสถาปัตยกรรมดังกล่าวคือ
ผลผลิตที่สะท้อนจิตวิญญาณอย่างใหม่ในยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม
- กลุ่มอาคารศาลฎีกาหลังใหม่ที่จะสร้างขึ้นแทนนั้น มีความสูงมากถึง 32
เมตร สูงเกินที่กฏหมายกำหนด 2 เท่า
(กฏหมายกำหนดให้อาคารที่สร้างขึ้นใหม่ในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน
ต้องสูงไม่เกิน 16 เมตร)
ซึ่งแม้ว่าจะได้รับการอนุมัติเป็นกรณีพิเศษจากมติคณะรัฐมนตรีแล้ว
แต่การยืนยันที่จะสร้างอาคารที่สูงเกินกว่ามาตรฐานที่หน่วยงานอื่นๆ
ถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดมาตลอดเกือบ 30 ปีนั้น
ย่อมเท่ากับเป็นการกระทำในลักษณะสองมาตรฐาน
อันจะนำมาสู่ปัญหาว่าด้วยความชอบธรรมของกฏหมายฉบับนี้ในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ละเมิดกฏเกณฑ์ดังกล่าวกลับกลายเป็นศาลเอง
ซึ่งควรอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้นำในการรักษากฏเกณฑ์และมาตรฐานทางกฏหมาย
- ด้วยความสูงของกลุ่มอาคารศาลฎีกาใหม่ที่มากถึง 32 เมตร และยาวประมาณ 140 เมตร (เฉพาะด้านที่ติดกับสนามหลวง) ย่อมจะเป็นการทำลายทัศนียภาพของโบราณสถานในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์อย่างไม่ อาจหลีกเลี่ยงได้ และสิ่งนี้จะเป็นการสั่นคลอนความชอบธรรมในนโยบายการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ กรุงรัตนโกสินทร์ในอนาคต (ภาพที่ 4)
จากผลกระทบข้างต้น การรื้อทำลายกลุ่มอาคารศาลฎีกา ย่อมมิอาจมองว่าเป็นเพียงการรื้อตึกอาคารราชการในเชิงกายภาพเพียงอย่างเดียว ได้ แต่การรื้อทำลายครั้งนี้ คือการทำลายความทรงจำทางประวัติศาสตร์สังคมไทย, ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่, ทำลายมรดกทางศิลปะและสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งในระดับ สากลและระดับชาติ, ทำลายภูมิทัศน์ของพื้นที่โบราณสถาน, และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมายโดยหน่วยงานที่ถือกฏหมายเอง
สุดท้ายนี้ ขอเรียกร้องไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนกลุ่มอาคารศาลฎีกาในครั้งนี้ ได้โปรดพิจารณาระงับการรื้อถอนดังกล่าว และหันมาพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ในการปรับปรุงและซ่อมแปลงอาคารแทน ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการและเทคโนโลยีมากมายซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการได้ดี ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการรื้อสร้างใหม่แต่อย่างใด
ชาตรี ประกิตนนทการ
15 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น