ที่มา Thai E-News
รองศาสตราจารย์ ดร. วรพล พรหมิกบุตร
นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี
การเผย
แพร่เอกสารที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเรียกว่า “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ”
(ตามที่ได้อ่านด้วยวาจาก่อนแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕)
ในราชกิจจานุเบกษา
เท่ากับเป็นการยืนยันมติเสียงส่วนใหญ่ของคณะตุลาการชุดดังกล่าวว่าตนมีอำนาจ
พิจารณาวินิจฉัยกรณีที่มีผู้ร้องเกี่ยวกับการกระทำตามมาตรา ๖๘ รัฐธรรมนูญ
๒๕๕๐ ด้วยตนเองได้เลยโดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด
แต่อีกทางหนึ่งอาจก่อความยุ่งยากเสียหายให้แก่งานของศาลรัฐธรรมนูญและระบบ
กฎหมายไทยต่อไปหากมีกรณีการร้องเรียนอย่างเดียวกันแล้วมีผู้ยื่นเรื่องทั้ง
ต่ออัยการสูงสุดและต่อศาลรัฐธรรมนูญพร้อมกันโดยประกาศว่าการยื่นต่ออัยการ
สูงสุดนั้นเป็นการยื่นให้อัยการสูงสุดเสียเวลาทำงานตามรัฐธรรมนูญ “เฉย ๆ”
โดยไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงของอัยการสูงสุด
การกลั่นแกล้งทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้ง่ายยิ่งขึ้นเมื่อปราศจากการถ่วงดุล
อำนาจระหว่างผู้ทำหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริง (ในกรณีนี้ คือ อัยการสูงสุด)
กับผู้ใช้อำนาจตุลาการ (ในกรณีนี้ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ)
ใน
กรณีการรับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๖๘ ที่นำไปสู่การประกาศ “คำวินิจฉัย”
ในราชกิจจานุเบกษาดังกล่าวข้างต้นนั้น
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดดังกล่าวได้ใช้อำนาจตั้งแต่การรับเรื่องร้อง
เรียน การสอบสวนข้อเท็จจริง
และการพิจารณาวินิจฉัยด้วยตนเองตลอดกระบวนการยุติธรรม
ซึ่งขัดกับหลักการดำเนินกระบวนการยุติธรรมที่ต้องให้มีการแบ่งงานเพื่อ
ถ่วงดุลอำนาจกันได้ในทางปฏิบัติ
การ
ที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกบุคคลต่าง ๆ
มาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเอง
แล้วนั่งประชุมพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๖๘
โดยไม่รอทราบผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด เท่ากับเป็นการ
“แย่งอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริง” มาจากอัยการสูงสุด
โดยมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ถ้าหาก
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการแย่งอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการร้อง
เรียนตามมาตรา ๖๘ ไปดำเนินการได้ด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุด
ถ้าเช่นนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักร่าช ๒๕๕๐ มาตรา ๖๘
วรรคสองระบุให้อำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงแก่อัยการสูงสุดไว้อย่างชัดเจนเป็น
ลายลักษณ์อักษรทำไม ?
คำถามนี้ไม่เคยมีคำตอบอย่างเป็นทางการจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
การ
ดำเนินการในกรณีร้องเรียนดังกล่าว
ทั้งโดยผู้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นในศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่องานตามกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญแล้วยังก่อให้
เกิดผลกระทบในทางแทรกแซงการทำงานขององค์กรอื่น เช่น
สำนักอัยการสูงสุดที่ถูกคำแถลงความเห็นของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดดัง
กล่าวทำให้หมดสิ้นสถานะทางกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมาตรา ๖๘ กำหนดให้โดยสิ้นเชิง
รวมทั้งรัฐสภาที่สามารถถูกยับยั้งถ่วงรั้งกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายได้
โดยอาศัยการกล่าวอ้างอำนาจตามความเห็นของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดดัง
กล่าว
คณะ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยืนยันใน “คำวินิจฉัย”
ของตนว่าตนมีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๖๘
ข้างต้นไว้พิจารณาโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุดก่อน
และมี “คำวินิจฉัย”
ประเด็นต่อไปว่าให้ยกคำร้องของผู้ร้องในกรณีดังกล่าวเพราะยังไม่มีข้อเท็จ
จริงเพียงพอต่อการสรุปว่าผู้ถูกร้องได้กระทำผิดตามมาตรา ๖๘ แล้ว
แต่ให้ผู้ถูกร้องใช้ความระมัดระวังในการลงมติวาระ ๓
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกร้อง
และระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะกระทำมิได้หากไม่มีการลงประชามติ
ตัวแทน
กลุ่มพลังที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ แถลงหลังทราบการอ่าน
“คำวินิจฉัย” วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ว่าเป็นชัยชนะของกลุ่มตนที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่กลุ่มพลังอีกฝ่ายแถลงว่าเป็นชัยชนะของประชาชนที่สนับสนุนการแก้ไข
รัฐธรรมนูญ
สมาชิกพรรคเพื่อไทยและบุคคลภายนอกเป็นจำนวนมากมีความเห็นในทางผ่อนคลายว่า
“คำวินิจฉัย” ดังกล่าวช่วยยับยั้งความขัดแย้งตึงเครียดทางการเมือง
ไม่ว่า
ฝ่ายใดจะอ้างชัยชนะ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปอย่างน้อยในอีกช่วงเวลา
หนึ่งจนกว่าสมาชิกรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่จะมีความกล้าหาญทางการเมืองมากขึ้นก็
คือ กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ควรจะมีการลงมติวาระ ๓ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๒๙๑ (การแก้ไขเป็นรายมาตรา)
แล้วเสร็จตั้งแต่สมัยการประชุมรัฐสภาครั้งที่ผ่านมาได้ถูกถ่วงรั้งอย่างมีผล
สัมฤทธิ์โดยการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อยถึงขณะที่เขียนต้นฉบับนี้เป็น
เวลายาวนานกว่า ๑ เดือน
และยังมีโอกาสจะถูกถ่วงรั้งต่อไปอีกด้วยการใช้ข้อความใน “คำวินิจฉัย”
ของศาลรัฐธรรมนูญทำนองที่ว่า
“แก้ไขทั้งฉบับไม่ได้เว้นแต่จะมีการลงประชามติ” หรือข้อความทำนองที่ว่า
“หากจะมีการลงมติวาระ ๓
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ค้างการพิจารณาก็ต้องรับผิดชอบกันเอง” เป็นต้น
สภาพการณ์อันเป็นความ “ผะอืดผะอมทางการเมือง”
ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติของสมาชิกรัฐสภากับอำนาจตุลาการของศาลรัฐธรรมนูญดัง
กล่าวยังคงดำรงอยู่ขณะที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศต้องการให้มีการ
แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
สภาพ
การณ์ดังกล่าวเป็นชัยชนะของรัฐสภาหรือชัยชนะของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
หรือเป็นชัยชนะร่วมกันจากการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายก่อนวันที่ ๑๓ กรกฎาคม
๒๕๕๕ ?
ผู้ที่เห็นว่าตนเองได้รับชัยชนะนั้นมองเห็นประชาชนอยู่ตรงไหนในชัยชนะดัง
กล่าว ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น