ยุกติ มุกดาวิจิตร: ซีไรต์กับอำนาจนิยมหลงยุค
17 ธันวาคม, 2012 - 01:37 | โดย yukti mukdawijitra
ไม่เพียงแต่นักเขียนบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่เข้าใจหรือมองข้าม
ประเด็นความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ
แต่ผมคิดว่าแวดวงภาษาและวรรณกรรมบ้านเราอาจจะไม่ตระหนักถึงปัญหานี้โดยรวม
เลยก็ได้ และในแง่หนึ่ง
ผมคิดว่าซีไรต์เองอาจจะมีส่วนสร้างวัฒนธรรมไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างทาง
วัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และถึงที่สุดแล้ว
นี่อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสที่วรรณกรรมไทยจะก้าวเข้าสู่ระดับ
สากล
เมื่อ
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา
ผมได้รับเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมสนทนากับคนในแวดวงวรรณกรรม
ในหัวข้อ "วรรณ(วาท)กรรมซีไรต์ เมื่อรางวัลซีไรต์ถูกตั้งคำถาม"
จัดโดยชุมนุมวรรณศิลป์ ธรรมศาสตร์ ในโอกาสครบรอบ 50 ปีของชมรม ที่สวนศิลป์
ท่าพระจันทร์
ผมเข้าใจว่าส่วนหนึ่งที่ผู้จัดเชิญมาคงเพราะหนังสือเล่มหนึ่งที่เข้ารอบซีไร
ต์ปีนี้
ถูกตั้งคำถามอย่างแรงถึงการที่ผู้เขียนใช้สัญลักษณ์ในเชิงดูถูกกลุ่มชาติพัน
ธ์ุหนึ่ง
ขอคัดสรรประเด็นที่นำเสนอในงานเสวนาดังกล่าวมาเรียบเรียงนำเสนอดังนี้
(1) ซีไรต์ ไม่ write อะไร
ผม
เข้าไปใน www.seawrite.com (ซึ่งก็อาจไม่ยุติธรรมกับซีไรต์นัก
เพราะเขาคงเพิ่งเขียนขึ้น จึงไม่ได้ให้ข้อมูลครบถ้วนนัก)
ผมอ่านประวัติการก่อตั้ง วัตถุประสงค์
เกณฑ์การคัดเลือกผลงานเพื่อให้รางวัลแล้ว
ก็สรุปเอาเองว่าที่มาของรางวัลนี้เป็นความคิดจากอีลีทตั้งแต่แรก
ก่อตั้งโดยเชื่อมโยงกับโรงแรมหนึ่ง สายการบินหนึ่ง
บริษัทก่อสร้างที่มีอิทธิพลแห่งหนึ่ง เจ้านายคนหนึ่ง และออกจะ
"orientalism" ทั้งในความหมายที่นักวิจารณ์วรรณคดีหลังอาณานิคมใช้
และในความหมายที่ผูกโยงกับผู้ก่อตั้งรางวัลนี้
แน่
นอนว่าเราไม่ควรมีอคติกับชนชั้นสูง ชนชั้นนำ คนรวย เพราะอย่างน้อย
อาจารย์ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ผู้ร่วมเสวนา ก็ได้กรุณาอธิบายว่า
กำเนิดซีไรต์นั้น ส่วนหนึ่งมาจากกระแสสังคมหลัง 6 ตุลาคม 2519
ที่ทำให้ซีไรต์เป็น "เสมือนคณะกรรมการสมานฉันท์ทางวรรณกรรม"
(คำของอาจารย์ชูศักดิ์) คือไม่ซ้ายเกินไป ไม่ขวาจัดไป เพียงแต่ว่า
ถึงทุกวันนี้แล้ว เราทบทวนทิศทางของซีไรต์กันแค่ไหน
ระบบคุณค่าแบบไหนกันแน่ที่ซีไรต์ส่งเสริมและปิดกั้น
ผม
อ่านวัตถุประสงค์สองในสี่ข้อของซีไรต์ในพากย์ภาษาอังกฤษ
(ซึ่งไม่เหมือนกับที่แปลเป็นภาษาไทย) แล้วเห็นว่า
ซีไรต์ไม่ได้ทำอย่างที่ได้วางวัตถุประสงค์ไว้เลย หรือสงสัยว่า
ซีไรต์ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแค่ไหน มีข้อหนึ่งระบุว่า
"เพื่อขยายความตระหนักและความเข้าใจถึงความรุ่มรวยของวรรณคดีระหว่างประเทศ
อาเซียนสิบประเทศ" อีกข้อหนึ่งระบุว่า
"เพื่อนำเอาบรรดอัจฉริยภาพของเหล่านักเขียนอาเซียนเข้ามาไว้ด้วยกัน"
อ่าน
จากวัตถุประสงค์สองข้อนี้
ผมเห็นการแลกเปลี่ยนวรรณกรรมระหว่างประเทศและระหว่างนักเขียนอาเซียน
เห็นมิติของวรรณกรรมที่จะต้องครอบคลุมระดับภูมิภาค
เห็นการไหลเวียนเรียนรู้จากกันและกันของแวดวงวรรณกรรมอาเซียน
แต่นั่นเป็นภาพซึ่งผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าได้เห็นจากรางวัลซีไรต์ที่สืบทอด
มากว่า 30 ปีแล้ว
แถม
ซีไรต์ยังมีเกณฑ์บางอย่างที่เรียกได้ว่ากำกับความเป็นวรรณกรรมให้เป็นแบบใด
แบบหนึ่ง เช่นที่ระบุในภาษาอังกฤษแปลได้ว่า
"ควรจะเป็นผลงานที่ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง (non-political)"
และดังที่รู้กันว่า งานแนวอีโรติคจะเป็นงานที่ตกรอบซีไรต์แน่ๆ ไม่ต้องส่งมา
ผม
จึงเห็นว่า จะว่าซีไรต์สนใจเฉพาะคุณค่าเชิงวรรณกรรมเหนือคุณค่าอื่นๆ
ก็ไม่ถูก เพราะการก่อตั้งก็ตั้งมาด้วยความคิดบางอย่าง
แถมในวัตถุประสงค์และเกณฑ์การคัดเลือกก็ยังระบุมิติที่นอกเหนือไปจากค่าเชิง
วรรณศิลป์เอาไว้ด้วย และดังนั้น ซีไรต์จึง “ไม่ได้ไรต์” อะไรอีกมากมาย
พร้อมๆ กับที่มันสร้างการเขียนแบบหนึ่งขึ้นมา
มิติ
ที่ผมเห็นว่าซีไรต์ขาดหรือจนกระทั่งอาจมีส่วนทำให้มันหดหายไปก็คือ
การส่งเสริมความเข้าใจระหว่างคนที่แตกต่างกัน
และการแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาทางวรรณศิลป์ระหว่างคนที่แตกต่างกัน
อย่าว่าแต่ระหว่างประเทศอาเซียนเลย ภายในประเทศไทยเองก็ยังไม่ได้ทำ
(2) ซีไรต์กับการเขียนคนอื่น
จะ
ว่าไป ประวัติการก่อตั้งซีไรต์ก็ทั้งมีความเป็น "บูรพคดีนิยม"
(orientalism) และเกี่ยวโยงกับแวดวงวรรณกรรมที่เขียนเกี่ยวกับ "คนอื่น"
ในระดับสากล ผมกำลังกล่าวถึงโจเซฟ คอนราด (Joseph Conrad)
ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับการเขียนถึงชาวเกาะทรอเบียนของบรอนิสลอว์
มาลินอฟสกี (Bronislaw Malinowski)
ที่คอนราดมาเกี่ยวกับซีไรต์ก็เพราะเขาได้มาพักที่กรุงเทพฯ
โดยพำนักอยู่ที่โรงแรมซึ่งมีส่วนก่อตั้งรางวัลซีไรต์
นี่ทำให้ซีไรต์ไปโยงกับมานุษยวิทยาทางอ้อมๆ
ผ่านนักเขียนที่มีอิทธิพลต่อนักมานุษยวิทยาคนสำคัญของโลกในศตวรรษที่
20 อย่างไรก็ดี ทั้งงานของคอนราดและมาลินอฟสกีก็ล้วนถูกวิจารณ์ว่า
เขียนถึงคนอื่นจากมุมมองที่มอง "คนตะวันออก" อย่างเหมารวมว่าตรงข้ามกับ
"คนตะวันตก" แล้วสร้างภาพที่ด้อยกว่าของชาวตะวันออก
หาก
ถามว่าหนัังสือรางวัลซีไรต์สะท้อนอะไรแบบนั้นบ้างหรือไม่
ซีไรต์คงไม่ถึงกับสร้างภาพตะวันออกหรือภาพคนอื่น คนชั้นล่าง คนชนบท
เพื่อให้คนเมือง
คนชั้นสูงอ่านเพื่อความบันเทิงอย่่างขนบการเขียนแบบที่ถูกนักวิจารณ์
วรรณกรรมแนวหลังอาณานิคมวิจารณ์คอนราดอย่างนั้น หากแต่ผมกำลังจะวิจารณ์ว่า
ซีไรต์ของไทยผลิตซ้ำวัฒนธรรมภาษาและวรรณคดีแบบที่ยึดเอากรุงเทพฯ
เป็นศูนย์กลาง
ถ้า
ละจากซีไรต์ไปก่อน วรรณกรรมไทยเขียนถึง "ชนอื่นในแดนตน" แบบต่างๆ เช่น
โคลงวัดโพธิ์ บทละครเงาะป่า นิราศหนองคาย จนถึงการเขียนถึงคนชนบท
คนในท้องถิ่นต่างๆ ในจำนวนนี้ งานที่ได้ซีไรต์ที่ผมจำได้ชัดๆ ได้แก่
“ลูกอีสาน” และ “เจ้าจันทร์ผมหอม” อย่างไรก็ดี
งานทั้งสองเป็นตัวอย่างอันน้อยนิดในจำนวนงานจำนวนมากที่เขียนด้วยภาษาและแนว
การประพันธ์แบบภาคกลาง และหากไม่นับยอดขายแล้ว
ใครสักกี่คนที่จะอ่านหนังสือสองเล่มนี้
คำ
ถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ
งานเขียนที่ได้รางวัลซีไรต์นั้นจำกัดอยู่ในงานวรรณกรรมภาษาไทยมาตรฐานหรือ
ไม่ และหากขยายไปถึงในแง่รูปแบบการประพันธ์
รูปแบบการประพันธ์แบบภาคกลางเท่านั้นหรือไม่ที่จะมีโอกาสเข้ารอบซีไรต์
ผม
ไม่ใช่คนที่จะอ่านนวนิยายหรือเรื่องสั้นอย่างเอาจริงเอาจัง
ผมอาจจะอ่านบทกวีมากกว่า และเผอิญมี "เพื่อนกิน" เป็นกวีอยู่หนึ่งคน
ที่พอจะได้แลกเปลี่ยนอะไรกันได้บ้าง
วันหนึ่งผมถามเพื่อนคนนี้ถึงงานของกวีซีไรต์คนหนึ่ง
ว่าทำไมนักเขียนคนนี้ถึงไม่เขียนงานด้วยภาษาและ "ลำ" แบบลาว
หรือแม้แต่อันที่จริงเขาคนนี้น่าจะรู้ภาษาเขมร
หรือผมเดาว่าเขาน่าจะรู้จักเพลงกันตรึม
ทำไมเขาไม่เอางานพวกนั้นมาเผยแพร่บ้าง
เพื่อนผมบอกเขาก็เคยถามกวีคนนี้เหมือนกัน กวีคนนี้ตอบว่า
"เขียนแบบนั้นแล้วใครจะอ่านล่ะ จะเอาอะไรกินล่ะ"
รายละเอียดที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ พี่ชายของกวีคนนี้เป็นนักร้องกันตรึม
ส่วนน้องชายที่กำลังเป็นกวีดาวรุ่งก็เขียนบทกวีไทยโดยแทรกคำขแมร์เสมอๆ
ผม
ถามตนเองในใจว่า นี่คือการทำลายวัฒนธรรมภาษาและวรรณคดีหรือไม่
แล้วนึกเลยไปอีกว่า ซีไรต์มีส่วนทำลายสิ่งเหล่านี้หรือไม่ กวีอย่างอังคาร
กัลยาณพงศ์ ซึ่งรู้ภาษาไทยกลางดีกว่าคนกรุงเทพฯ ที่มีการศึกษาสูงๆ นั้น
ทำไมไม่นำเพลงบอก เพลงโนรามาเผยแพร่หรือแทรกใส่เข้าไปในบทกวีของเขา
ทำไมอังคารจึงละทิ้งตัวตนของตนเองไปเสีย แล้วเมื่อทำอย่างนั้นได้ดีแล้ว
เขาก็กลับยิ่งได้รับการยกย่องจากคนกรุงเทพฯ ได้เป็นกวีซีไรต์
แล้วอังคารก็ภาคภูมิใจที่ตนเองร่วมลดทอนตัวตนของตนเอง ทั้งๆ
ที่ฟังจากสำเนียงแล้ว อังคารต้องพูดภาษาใต้ได้ไพเราะกว่าภาษากลางแน่นอน
และอังคารต้องได้ซึมซับเพลงบอก เพลงโนรามาอย่างลึกซ้ึงตั้งแต่วัยเด็กแน่นอน
นี่
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่มันเกิดขึ้นในบริบททางการเมืองของการสร้างชาติสมัยใหม่แบบหนึ่ง
หากมีโอกาส ผมสามารถเขียนสาธยายยาวๆ
เปรียบเทียบให้เห็นถึงการให้การศึกษาทางภาษาและวรรณคดีในประเทศเพื่อน
บ้านอย่างเวียดนามได้อย่างเป็นวรรคเป็นเวร
ว่าเขาเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ทางภาษาและวัฒนธรรมข้ามวัฒนธรรมอย่างไร
แม้แต่ภาษาเวียดถิ่นต่างๆ
เขายังไม่กดไม่ปิดกั้นแบบรัฐไทยอันเป็นที่รักของเราเลย
แต่
เนื่องจากวิธีที่เราสร้างชาติ
ซึ่งอันที่จริงเริ่มมาอย่างเข้มข้นตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
และยิ่งเข้มข้นขึ้นอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่สมัยที่คณะราษฎรมีอำนาจจนถึง
ปัจจุบัน เลือกที่จะทำลายภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่น
แนวทางนี้ยังสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
แม้แต่องค์กรเอกชนอย่างซีไรต์ก็ยังรับเอากรอบความคิดนี้ไว้
เรา
รู้จักหรือให้การศึกษาเรื่องวรรณกรรมท้องถิ่น
วรรณกรรมชนกลุ่มชาติพันธ์ุอื่นๆ แค่ไหน รู้ไหมว่าลำมีกี่แบบ
ค่าวซอเป็นอย่างไรทุกวันนี้เด็กเหนือรุ่นใหม่ๆ ยังไม่รู้จักเลย
กันตรึมเขาเอาไว้ทำอะไรกันแน่ แล้วยังมีเจรียงอีก ส่วนภาคกลาง เพลงฉ่อย
เพลงอีแซว เพลงเรือ เพลงเต้นกำรำเคียว มันมีทำนองต่างกันอย่างไร เพลงบอก
เพลงโนรา เด็กใต้ยังร้องได้ไหม ถ้าร้องได้แล้วจะมีวันได้ซีไรต์ไหม
หรือต้องร้องจนแก่ใกล้ตายแล้วค่อยได้ศิลปินแห่งชาติไป
ซี
ไรต์ทำลายสิ่งเหล่านี้หมดเลย ซีไรต์มีส่วนร่วมสร้างภาษาไทยมาตรฐาน
วรรณกรรมมาตรฐาน ซีไรต์ผลิตซ้ำวัฒนธรรมเดี่ยว
สนองการสร้างชาติด้วยภาษาเดี่ยว และเนื่องจากวัฒนธรรมภาษา อักษร
และวรรณคดีเรายังยึดอยู่กับความเป็นชาติไทย ในขอบเขตของชาติไทย
ถ้ายังยึดกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางกันอยู่อย่างนี้
จะเขียนจะอ่านกันให้ตายอย่างไรเราก็ยังไม่มีทางขยายขอบฟ้า
ขยายเพดานของสุนทรียรสทางวรรณศิลป์ได้
ตราบใดที่นักเขียนจากท้องถิ่นยังต้องทำลายตนเอง
ยังต้องลดทอนความเป็นตัวของตัวเอง
แล้วตราบใดที่เกณฑ์การคัดเลือกผลงานยังเป็นอยู่อย่างนี้
เราก็จะยังคงผลิตซ้ำงานเขียนกันแบบนี้แหละ
(3) ซีไรต์นำวรรณกรรมไทยจะไปสู่โลก?
ถึง
ตรงนี้คนอาจจะว่าผมคลั่งท้องถิ่น จะว่าอย่างนั้นก็ได้
จะว่าส่วนหนึ่งเพราะผมไม่มีท้องถิ่นของตัวเองก็เลยคลั่งก็เป็นได้
แต่หากผมจะมานั่งปกป้องตนเองด้วยการเล่าว่าตนเองเติบโตมาใน "ท้องถิ่น"
แบบไหน ก็ใช่ที่
เนื่อง
จากประเด็นที่สำคัญกว่านั้นคือ (หนึ่ง)
ผมกำลังถามหาถึงคุณค่าทางวรรณศิลป์ที่กำลังจะสูญหายไปมากมายในการประกวด
วรรณกรรมชิงรางวัล (สอง)
ผมกำลังสงสัยว่าหากไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้วเราจะสร้างความเข้าใจข้ามวัฒนธรรม
ข้ามชุมชนภาษาและวรรณคดีอย่างที่ซีไรต์เองอวดอ้างว่าจะทำได้อย่างไร (สาม)
แล้วเรา คือคนจากอุษาคเนย์ จะฝากวรรณกรรมอะไรให้กับโลกไว้ได้บ้าง
ลอง
คิดดูว่าหากผู้ประกาศข่าวในทีวีประเทศไทยพูดภาษาเหนือ กลาง ใต้
ได้อย่างสะดวกปากไม่ต้องดัดเสียงกันแบบในทีวีเวียดนามได้
จะแสดงความรุ่มรวยได้แค่ไหน หากวรรณกรรมที่เข้ารอบซีไรต์จะเป็นกันตรึม
ค่าวซอ เพลงบอก และเพลงฉ่อย จะครึกครื้นขนาดไหน ในทางกลับกัน หาก
"ลุงบุญมีระลึกชาติ" ไม่ได้เว้าลาวแทบทั้งเรื่อง
ถ้าการเอากับปลาไม่ได้เพียงเซอร์เรียลแต่ยังมีลักษณะของตำนานพื้นบ้านมากๆ
ฯลฯ "ลุงบุญมีฯ" จะมีอะไรให้กับโลก
แต่
หากเราจะยังรอให้คนเพียงไม่กี่คนมาคอยกำหนดคุณค่าทางวรรณศิลป์
ด้วยรางวัลที่
"เหนือกว่ารางวัลอื่นจากการผูกติดกับเจ้าและความเป็นอินเตอร์แบบปลอมๆ
ของซีไรต์ไทย" (คำของอาจารย์ชูศักดิ์ ภัทรกุลวนิชย์)
หากเรายังถามคำถามกันอยู่ว่า "เกณฑ์การตัดสินซีไรต์เป็นอย่างไรกันแน่"
"จะเขียนงานอย่างไรให้ได้ซีไรต์" หรือ "ปีนี้จะอ่านอะไรดี
ให้รอซีไรต์ประกาศก่อน"
ก็ป่วยการที่เราจะไปพ้นจากสังคมอำนาจนิยมของวรรณกรรมได้
ป่วยการที่จะถามถึงว่า แวดวงวรรณกรรมไทยจะฝากอะไรไว้ให้กับชาวโลกได้บ้าง
ผม
คิดว่าปัญหาเรื่องการนำวรรณกรรมไทยไปสู่โลกนั้นไม่ใช่เพียงปัญหาเรื่องภาษา
หรือการแปลเท่านั้น เพราะต่อให้แปลเรื่องต่างๆ ที่ได้ซีไรต์มาทั้งหมด
และแม้ว่าบางเล่มจะแปลแล้วและเป็นที่นิยม
ก็ใช่ว่าจะหมายความว่าวรรณกรรมไทยจะได้ฝากอะไรไว้ให้กับโลกแล้ว หากแต่เป็น
"ประเด็น" "เรื่องราวพิเศษแปลกใหม่" "แง่มุมทางวรรณศิลป์" "แง่มุมทางภาษา"
(ที่แม้จะถ่ายทอดข้ามภาษาได้ยากเย็นก็ตาม)
ต่างหากที่จะทำให้วรรณกรรมไทยส่งคุณค่าไปสู่โลก
สุด
ท้าย จะเขียนอะไรก็เขียนกันเถอะครับ จะอ่านอะไรก็อ่านกันเถอะครับ
แต่หากใครอยากมีบ้านมีรถเร็วๆ
ก็เพียรเขียนให้ได้เข้ารอบซีไรต์หรือโชคดีอาจได้รางวัลซีไรต์กันไป
แต่หากจะทำงานสร้างสรรค์กันจริงๆ อยากอ่านงานสร้างสรรค์กันจริงๆ
ก็อย่าหวังอะไรกับซีไรต์นักเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น