สรุปข่าวเด่นรอบปีสารพัดเรื่องตั้งแต่ชีวิตในเรือนจำ,
สำนักงานทรัพย์สินฯ, โทรหา “อาจารย์วีระ” ประกาศฟันคอนิติราษฎร์,
สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข, อัยการไม่ฟ้องกรณีไม่ยืนในโรงหนัง, เปิดคำสั่ง ศอฉ.
ใช้ “พลแม่นปืน”, Innocence of Muslim, คุยกับ "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์",
กัมพูชาโวยนักข่าวไทยเหยียบรูปสมเด็จสีหนุ
และอภิสิทธิ์สัมภาษณ์บีบีซียอมรับใช้กระสุนจริง
ทีมงานประชาไทสรุป 10 ข่าวเด่นรอบปี 2555 โดยนับจากจำนวนผู้เข้าชมและการแชร์ โดยมีข่าวที่ติด 10 อันดับแรก เรียกจากจำนวนผู้อ่านมากที่สุดและจำนวนผู้อ่านรองลงมาตามลำดับ มีดังนี้
จำนวนแชร์ 69 ครั้ง จำนวนรีทวีต 62 ครั้ง
'เล่าซัน' เป็นนามแฝงของนักโทษคดีการเมืองผู้ มีประสบการณ์ตรงในเรือนจำแห่งหนึ่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคมเขาได้ส่งจดหมายมายังประชาไท หลังจากที่เขารวบรวมและส่งต่อข้อมูลสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังในเรือนจำ ด้วยความหวังของทั้งเขาและเราว่า การรับรู้ของสังคมจะทำให้เกิดการปรับปรุง “ระบบ” ยุติธรรมไทย โดยเฉพาะพื้นที่คุมขังประชาชนชายขอบที่สุดกลุ่มหนึ่งของสังคม
โดยในรายงานจาก 'เล่าซัน' ได้บันทึกเกี่ยวกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังในเรือนจำอย่าง ละเอียดแทบทุกมิติ ตั้งแต่ภาระกิจส่วนตัวนับตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงกลับเข้าเรือนนอน ทั้งเรื่องสภาพความเป็นอยู่ การรับประทานอาหาร การอนามัย การซื้อสินค้าในเรือนจำ ไปจนถึงเรื่องการขับถ่าย สิ่งแทน 'เงิน' ที่ใช้ในเรือนจำ รวมไปถึงเรื่องการทำงานหนักในเรือนจำ ที่งานบางประเภทหากทำไม่ได้ตามเป้าจะถูกผู้คุมเรือนจำลงโทษ พร้อมตั้งคำถามว่าผลประโยชน์จริงๆ ของเรื่องนี้ไปตกอยู่ในกระเป๋าของใคร
จดหมายของ 'เล่าซัน' มีการทยอยนำเสนอเป็น 2 ตอน สำหรับตอนที่สอง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ [http://prachatai.com/journal/2012/01/38960]
จำนวนแชร์ 1,086 ครั้ง จำนวนรีทวีต 6 ครั้ง
บทรายงานที่ถูกแชร์เกิน 1 พันครั้งนี้แปลมาจากบทรายงานของนิตยสารฟอร์บ นิตยสารด้านการเงินและธุรกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งตีพิมพ์บทความว่าด้วยรายได้และการลงทุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดย วิเคราะห์จากข้อมูลในหนังสือพระราชประวัติกึ่งทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเล่มล่าสุด ‘King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work’ โดยชี้ว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ประเมินทรัพย์สินที่เป็น ที่ดิน คิดเป็นมูลค่าเพียงหนึ่งในสามของที่ฟอร์บส์เคยวิเคราะห์ไว้
ในบทรายงานยังระบุว่าในหนังสือ ‘King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work’ ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นที่ปรึกษาบรรณาธิการ ละเลยการพูดถึงการถือหุ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในกลุ่ม โรงแรมเยอรมัน ‘เคมพินสกี้ เอจี กรุ๊ป’ และบริษัทประกันเทเวศประกันภัย ซึ่งรวมกันมีมูลค่าราว 600 ล้านดอลลาร์ จากมูลค่าประเมินในปี 2551 ด้วยการลงทุนทั้งหมดนี้ ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กลายเป็นกลุ่มบรรษัทที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย
ในตอนท้ายของรายงาน ฟอร์บส์สรุปโดยเปรียบเทียบกับสถาบันกษัตริย์ของประเทศในยุโรป เช่นในกรณีของสเปนซึ่งปกครองในระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ราว 12 ล้านดอลลาร์ ส่วนสถาบันกษัตริย์ของประเทศอังกฤษ ใช้ราว 50 ล้านดอลลาร์ แต่ยกรายได้ส่วนใหญ่ที่เข้ามาทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้กับ กรมคลังของประเทศ และประชาชนเองก็สามารถตรวจสอบข้อมูลด้านการเงินดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีของประเทศไทยฟอร์บระบุว่า ความโปร่งใสในสถาบันดังกล่าว เห็นจะเป็นหนทางที่ยังต้องใช้เวลาอีกนาน
2 กุมภาพันธ์ 2555 [http://prachatai.com/journal/2012/02/39063]
จำนวนแชร์ 214 ครั้ง จำนวนรีทวีต 18 ครั้ง
ในช่วงที่คณะนิติราษฎร์ มีข้อเสนอทางวิชาการให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งนอกจากเสียงสนับสนุนแล้ว ยังมีมีเสียงคัดค้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม แบ่งออกเป็นฝ่ายที่คัดค้านโดยการแสดงเหตุผล และฝ่ายที่คัดค้านโดยประกาศจะทำร้ายคณะนิติราษฎร์
โดยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางรายการ "คุยได้คุยดี Talk News & Music" ทางคลื่น 96.5 MHz อสมท. ดำเนินรายการโดยนายวีระ ธีระภัทรานนท์ หรือ "อาจารย์วีระ" ช่วงหนึ่งได้มีผู้โทรศัพท์เข้ามาแสดงความเห็นในเชิงตำหนิและระบุว่าต้องการ จะตัดคอกลุ่มนิติราษฎร์ (ฟังคลิปเสียง) ซึ่งทำให้นายวีระรีบตัดบท และถามผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาว่ารู้จักกลุ่มนิติราษฎร์หรือไม่ว่าสมาชิกประกอบ ด้วยใคร และถามด้วยว่ารู้ข้อความในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ และยังแนะนำให้กลับไปค้นคว้าข้อมูลจะได้มีพื้นฐานในการแสดงความรู้สึก ก่อนวางสาย โดยท้ายรายการนายวีระระบุด้วยว่าการเคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายอาญามาตราดังกล่าวเคยมีการแก้ไขมาแล้วในปี 2519
อย่างไรก็ตามในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ก็เกิดเหตุชาย 2 คนเข้ามาดักทำร้าย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกคณะนิติราษฎร์ โดยภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ ด้านนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ก็แถลงยืนยันว่าแม้จะเกิดเหตุทำร้ายขึ้น แต่จะไม่ยุติบทบาททางวิชาการ
จำนวนแชร์ 1,123 ครั้ง จำนวนรีทวีต 31 ครั้ง
หลังลี้ภัยทางการเมืองมานานกว่า3 ปี หลังการสลายการชุมนุม เดือนเมษายนปี 2552ในปลายเดือนมีนาคมปี 2555 ที่กรุงพนมเปญ ผู้สื่อข่าวประชาไทมีโอกาสสัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ในฐานะ “คนไกลบ้านที่ลี้ภัยการเมืองมานานกว่า 3 ปี” และ “นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศที่อยู่ในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นเนื้อเดียวกับแกนนำในขบวนการต่อสู้ด้วยกันนัก และถูกกล่าวหาด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112” ว่า 3 ปีที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และกำลังคิด-ทำอะไรอยู่”
จักรภพตั้งประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ประการแรกคือ เขามองเห็นว่าเมืองไทยภายใต้กระแสปรองดองนั้นเป็นวาระพักรบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทางเลือกที่สามของการเรียกร้องประชาธิปไตยเกิด ขึ้น แม้จะยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของทางสายนี้ แต่เขาเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะตั้งคำถามให้คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เลือกว่า จะสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมหรือสู้เพียงเพื่อรวบสังคมมาเป็นของตัวเอง สอง เมื่อถามเรื่องบทบาทของทักษิณ ชินวัตรในขบวนต่อสู้ จักรภพยังคงแสดงความหวังว่าทักษิณมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในขบวนการเปลี่ยน แปลงสังคมแต่นั่นเป็นสิ่งที่ทักษิณต้องเลือกเองว่าจะเลือกทางสบายหรือลำบาก และสุดท้าย เงื่อนไขในการกลับประเทศ แม้ว่าจะข้อกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นอัยการจะสั่งไม่ฟ้องไปแล้วในวันเดียวกับที่เขาให้สัมภาษณ์ประชาไท แต่นั่นไม่ใช่แรงจูงใจที่จะทำให้เขาเดินทางกลับเข้าประเทศ
18 กรกฎาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/07/41608
จำนวนแชร์ 5,215 ครั้ง จำนวนรีทวีต 149 ครั้ง
กรณีโชติศักดิ์ อ่อนสูง และการถูกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุาภาพเพราะไม่ยืนในโรงหนัง เริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 กันายน 2550 โดยนายนวมินทร์ วิทยกุล ได้ขว้างปาข้าวโพดคั่วและกระดาษใส่นายโชติศักดิ์ และเพื่อน เนื่องจากทั้งสองไม่ยืนขึ้นเมื่อมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรง ภาพยนตร์แห่งหนึ่ง
นายโชติศักดิ์และเพื่อน จึงฟ้องนายนวมินทร์ ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้า ทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ, และทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถาน
จากนั้นนายนวมินทร์ได้ฟ้องกลับนายโชติศักดิ์และเพื่อนกลับด้วยข้อหาหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยความคืบหน้าคดีในวันที่ 19 กันายน 2551 พนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายนวมินทร์ และวันที่ 20 ตุลาคม 2551 ตำรวจได้ส่งสำนวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา กรุงเทพใต้
เวลาผ่านมากว่า 4 ปี กระทั่งต่อมาในเดือนเมษายน 2555 อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพฯ ใต้ 4 มีหนังสือแจ้งไปยังสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยคำวินิจฉัยของอัยการระบุว่า พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ต้องหาไม่ลุกขึ้นเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และมีการพูดว่า "ทำไมต้องยืนด้วยไม่มีกฎหมายบังคับ" นั้น เห็นว่าการกระทำดังกล่าวมิได้แสดงออกซึ่งวาจาหรือกิริยาอันจะเข้าลักษณะเป็น การดูถูก เหยียดหยาม ทำให้อับอาย เสียหาย สบประมาท ด่าว่า และการกล่าวหรือโต้เถียงเกิดขึ้นหลังจากเพลงจบแล้ว แม้จะเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมและไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้อง ปฏิบัติก็ตาม แต่การกระทำของผู้ต้องหาทั้งยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีเจตนาดูหมิ่นพระมหา กษัตริย์ อีกทั้งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง
จำนวนแชร์ 708 ครั้ง จำนวนรีทวีต 135 ครั้ง
ในเดือนสิงหาคม 2555 ผู้สื่อข่าวประชาไทได้รับเอกสารสั่งการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) “ส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.0407.45 (สยก.)/130” ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 เรื่อง “ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่” ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น
โดยเอกสารมีทั้งหมด 5 หน้า ใจความสำคัญคือการระบุแนวทางปฏิบัติ หากมี “ผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมากับกลุ่มผู้ชุมนุม และใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อเจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์”
ในข้อ 2.5 ระบุว่า “ในกรณีพบความผิดซึ่งหน้าในลักษณะผู้ก่อเหตุใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ หรือใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญที่ ศอฉ. กำหนด ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้ แต่หากผู้ก่อเหตุอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมจนอาจทำให้การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้งดเว้นการปฏิบัติ ยกเว้นในกรณีที่หน่วยได้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ นอกจากนี้หากหน่วยพบเป้าหมายแต่ไม่สามารถทำการยิงได้ เช่น เป้าหมายอยู่ในที่กำบัง ฯลฯ หน่วยสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ. ได้”
โดยการเผยแพร่เอกสารคำสั่งของ ศอฉ. ครั้งนี้ นับเป็นการหักล้างการแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 16 ส.ค. 55 ที่ปฏิเสธว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์ เป็นเพียงปืนติดลำกล้องเพื่อใช้ระวังป้องกัน ซึ่งในตลาดนัดก็มีขายสำหรับใช้ยิงนก ขณะที่เมื่อ 16 พ.ค. 53 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่โฆษก ศอฉ. ด้วยก็ปฏิเสธว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์ มีเพียง “พลแม่นปืนระวังป้องกัน” ทำหน้าที่คุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ต่ำหรือตามถนนหนทางโดยทั่วไป เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะมีหน้าที่ในการตรวจสอบว่ามีบุคคลผู้ใดถืออาวุธหรือจะ เข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ และจะใช้การยิงคุ้มครอง (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อมาภายหลังการเผยแพร่เอกสาร พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ออกมายอมรับว่าเป็นเอกสารฉบับจริง แต่อ้างว่าผู้ที่นำเอกสารฉบับนี้มาปล่อยเข้าใจว่ามีนัยยะเรื่องอื่น เพราะเอกสารมีอยู่ 5 แผ่น แต่เลือกนำแผ่นสุดท้ายมาปล่อย และยืนยันว่าการปฏิบัติงานของ ศอฉ. ยึดหลักสากลจากเบาไปหาหนัก “หากการปฏิบัติจากเบาไปหาหนักนั้นไม่สามารถจะระงับยับยั้งการปฏิบัติที่ผิด กฎหมายก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ได้ เราก็จำเป็นที่ต้องใช้พลแม่นปืนระวังป้องกัน” อย่างไรก็ตามประชาไทเผยแพร่เอกสารทุกหน้า ไม่ใช่หน้าเดียวอย่างที่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวหา (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ก่อนหน้านี้เมื่อ 18 มี.ค 54 พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้นำรายงานบัญชีสรุปรายการเบิกจ่ายกระสุนจากหน่วยคลังแสงสรรพาวุธทหารบก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตั้งแต่ 11 มี.ค. 53 จนถึงเสร็จสิ้นการโดยมีการเบิกกระสุนจากคลังแสงทหารบกกว่า 597,500 นัด ส่งคืน 479,577 นัด ใช้ไป 117,923 นัด เผยมีการเบิกกระสุนปืนซุ่มยิง 3,000 นัด คืนเพียง 880 นัด ขณะที่เบิกกระสุนซ้อมเพียง 10,000 นัด ส่งคืน 3,380 นัด (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)
จำนวนแชร์ 716 ครั้ง จำนวนรีทวีต 7 ครั้ง
จากกรณีกลุ่มติดอาวุธชาวลิเบียบุกเข้าโจมตีสถานทูตสหรัฐอเมริกา ในลิเบียเมื่อวันที่ 11 กันยายน จนเป็นเหตุให้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต เนื่องจากไม่พอใจภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง "Innocence of Muslim" ที่ดูหมิ่นศาสดาของศาสนาอิสลาม ต่อมาประชาไทได้แปลบทรายงานของสำนักข่าวอัลจาซีร่านำเสนอเกร็ดที่มาของ ภาพยนตร์ล้อเลียน ที่กลายเป็นเหตุให้เกิดการต่อต้านจากในลิเบีย และการประท้วงในอียิปต์
โดยนักแสดงที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์ดังกล่าว ที่ผู้กำกับเป็นชาวอิสราเอล-อเมริกันใช้ชื่อว่า “แซม บาไซล์” บอกว่า เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสดามูฮัมหมัดหรืออิสลาม ในตอนแรกพวกเขาถูกเรียกมาคัดเลือกนักแสดงในภาพยนตร์ที่ชื่อ "นักรบแห่งทะเลทราย" โดย ผู้กำกับที่ชื่อ “อลัน โรเบิร์ท” และการกล่าวอ้างอิงถึงศาสนาในภาพยนตร์เพิ่งมีการนำมาอัดเสียงพากษ์ใส่ทีหลัง สำหรับข่าวนี้ถือเป็นข่าวที่มีจำนวนผู้อ่านที่สูงที่สุดในปี 2555
จำนวนแชร์ 9,992 ครั้ง จำนวนรีทวีต 179 ครั้ง
“ถิ่นนี้มีอันตรายร้ายแรงยิ่งนัก หากมิใช่คนตัวกลั่นแท้แล้วไซร้ เห็นทีจักเอาชีวิตรอดมิได้เป็นแม่นมั่น” (แปล - แถวนี้แม่งเถื่อน บอกตรงๆนะถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้) “พลันมีเสียงกัมปนาทแปลบเปรี้ยง บัดเดี๋ยวกลายเป็นข้าวพองกรอบ” (แปล - บู้ม!!! กลายเป็นโกโก้ครั้นช์) หรือ “อยู่บุรีมีจริต ชีพจักต้องวิลิศมาหรา” (แปล - อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป๊อป)
และอีกหลายประโยคที่หลายคนในเฟซบุ๊กที่มาจากเพจ "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์" ให้ชาวเน็ตได้ทายว่าความหมายคืออะไร โดยในเดือนกันยายน ประชาไทได้มีโอกาสสัมภาษณ์ 3 แอดมิน ถึงที่มาและแนวคิดในการตั้งเพจดังกล่าว ที่ปัจจุบัน (ธันวาคม 2555) มีผู้คนกดไลค์เพจกว่า 6.5 หมื่นคน
“จริงๆ เพจนี้ก็ไม่ใช่เพจล้อเลียนอย่างเดียว เส้นกั้นระหว่าง parody กับ homage มันบางมาก เพจนี้แม้จะดูเป็นเพจล้อเลียน แต่ก็ทำขึ้นมาด้วยความชื่นชอบ เราชอบภาษาแบบโบราณ เห็นว่ามันเก๋ดี แต่ในขณะเดียวกันเราก็โตมากับวัฒนธรรมป๊อป ดูหนังฮอลลีวู้ด ใส่กางเกงยีนส์ เราเลยอยากนำสองค่ายมาผสมผสานกัน เป็นเหมือนโรบินฮูดที่ขโมยภาษาศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นสูงมาให้ความสนุกสนาน แก่ชนชั้นกลางธรรมดาสามัญทั่วไปค่ะ
ส่วนเป้าหมายรองของเพจเรา ก็คือต้องการล้อเลียนแนวคิดชาตินิยมที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน โดยการแสดงให้เห็นว่าไม่มีวัฒนธรรมที่เป็น "ไทยแท้" แม้แต่ภาษาที่ดูโบราณและดูเป็นไทยจ๋าๆ ก็ยังยืมมาจากภาษาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชื่อว่า ตะละแม่ ซึ่งไม่ใช่คำเรียกเจ้าหญิงของไทย แต่ก็เป็นคำที่ปรากฏในวรรณกรรมขึ้นหิ้งของไทย ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นความไม่เป็นเหตุเป็นผลของวาทกรรมชาตินิยมค่ะ”
หลังการสัมภาษณ์แอดมินเพจได้ตั้งชื่อให้กับประชาไทด้วยว่าคือ “อิสรมานพ” หรือประชาไทในภาษาของตะละแม่ฯ ด้วย
จำนวนแชร์ 665 ครั้ง จำนวนรีทวีต 48 ครั้ง
ในช่วงที่มีการไว้อาลัยการสวรรคตของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เกิด กระแสความไม่พอใจชาวกัมพูชาซึ่งมีการแชร์ภาพ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวช่องสาม โดยกล่าวหาว่าเป็นการยืนทับกระดาษที่มีรูปสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์ที่เพิ่งสวรรคตขณะรายงานข่าวจากกรุงพนมเปญ
โดยต่อมา มีการชี้แจงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ระบุว่าได้สอบถามจาก น.ส.ฐปณีย์ แล้วโดยยืนยันว่า น.ส.ฐปณีย์ “ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ หรือแสดงความไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวกัมพูชา” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการรายงานข่าวประชาชนกัมพูชาไว้อาลัยสมเด็จ พระนโรดม สีหนุ ที่บริเวณหน้าพระราชวังจตุรมุขมงคล “ด้วยลักษณะที่ต้องยืนรายงาน ทำให้ต้องวางสิ่งของส่วนตัว ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ สมุดจดบันทึก หนังสือพิมพ์ ซึ่งลงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ตีพิมพ์หลักจากที่เสด็จสวรรคต และได้วางไว้ที่พื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งได้วางห่างจากตัวพอสมควร แต่เนื่องจากภาพที่ปรากฏในเฟซบุ๊ค ถ่ายจากด้านข้างค่อนไปทางด้านหลัง จึงทำให้เห็นว่าสิ่งของทั้งหมดวางอยู่ใกล้ตัว" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ลุกลามบานปลาย โดยหลังการชี้แจงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 คณะของ น.ส.ฐปณีย์ได้เดินทางไปที่สถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเพื่อทำพิธีขอขมา
ต้องบันทึกไว้ด้วยว่า ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ร้องขอไม่ให้สื่อมวลชนเผยแพร่รูปในกรณีของ น.ส.ฐปณีย์ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยในเวลาต่อมากองบรรณาธิการประชาไทได้ตัดสินใจไม่นำเสนอภาพดังกล่าวในข่าว แต่ยังคงลิ้งที่ไปยังภาพดังกล่าว โดยเคารพในการใช้วิจารณญาณเองของผู้อ่าน
จำนวนแชร์ 1,543 ครั้ง จำนวนทวีต 111 ครั้ง
ในเดือนธันวาคม ประชาไทแปลบทคำสัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ BBC World News ทาง สถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ ต่อเรื่องการสั่งฟ้องและการมีส่วนรับผิดชอบในคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม ที่มีสาเหตุจากเจ้าหน้าที่รัฐในระหว่างการสลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม 2555 โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีการใช้กำลังทหารและการใช้ กระสุนจริงในระหว่างการสลายการชุมนุม และว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากมีกลุ่มติดอาวุธอยู่ในพื้นที่ชุมนุม หรือชายชุดดำ ซึ่งยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้ชุมนุม และยังกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตราว 20 คน ที่สรุปได้แล้วว่า เสียชีวิตจากกลุ่มติดอาวุธภายในผู้ชุมนุม ขณะที่ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทยไม่กี่วันก่อนหน้านี้ว่า เหตุใดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ. รวมถึงตัวเขาซึ่งไม่มีตำแหน่งใน ศอฉ. และไม่ได้ลงนามคำสั่ง กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล โดยผู้ฟ้องคือนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ในรายงานข่าวผู้ดำเนินรายการ น.ส.มิชาล ฮุสเซน ถามแย้งนายอภิสิทธิ์ว่า ในรายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่ทำการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว ชี้ว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เสียชีวิตมาจากทหาร และถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหาร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า จาก 20 คดีที่ได้ทำการสอบสวนไป มีเพียงสองคดีเท่านั้นที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนของทหาร นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่า ผู้ชุมนุมได้ปล้นปืนของทหารไปด้วย
ต่อคำถามของผู้ดำเนินรายการว่า นายอภิสิทธิ์ยอมรับหรือไม่ว่าตนมีส่วนรับผิดชอบในการเสียชีวิตบางส่วน เขาตอบว่า ไม่ เพราะการตั้งข้อกล่าวหาต่อตนเองในตอนนี้ มาจากคดีการเสียชีวิตของคนที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุมด้วยซ้ำ (หมายถึง - คดีนายพัน คำกอง คนขับรถแท็กซี่เสียชีวิต) แต่เป็นเพียงผู้เห็นเหตุการณ์ที่บังเอิญออกมาดูและโชคร้ายที่เขาโดนลูกหลง เข้า
เขากล่าวยอมรับว่า ตนเป็นผู้สั่งใช้กระสุนปืนจริง แต่มิได้รู้สึกเสียใจต่อการออกคำสั่งดังกล่าว เพราะเป็นวิธีที่จะสามารถจัดการกับกลุ่มผู้ที่ติดอาวุธได้ และกล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อปี 53 เป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงจริง แต่หากไม่มีกลุ่มชายชุดดำที่มีอาวุธและยิงตำรวจ ทหารและประชาชน ความรุนแรงและความเสียหายดังกล่าวก็คงจะไม่เกิดขึ้น
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลชุดของเขาเป็นรัฐบาลแรกที่อนุญาตให้ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ อัยการ และศาลเข้าสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว เขากล่าวว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตนก็จะยอมรับโทษนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นโทษประหารชีวิต และขอเรียกร้องแบบเดียวกันต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และสมาชิกในรัฐบาลนี้ ให้ทำแบบเดียวกันด้วย
(แถม)
จำนวนแชร์ 11,600 ครั้ง จำนวนรีทวีต 310 ครั้ง
นอกจาก 10 ข่าวที่มีการจัดอันดับไปแล้วนั้น
อีกข่าวที่ไม่ได้จัดอันดับด้วย
แต่มีผู้อ่านจำนวนมากและยอดแชร์สูงเป็นประวัติการถึง 11,600 ครั้งก็คือข่าว
“ผลโหวต 10 แฟนเพจเฟซบุ๊ก” ปี 2012 กิจกรรมส่งท้ายปีสำหรับผู้อ่านประชาไท
โดยเฟซบุ๊กแฟนเพจ Prachatai ได้
ตั้งกระทู้ “ร่วมเสนอและ Vote 10 เพจแห่งปี 2012” เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.55
เปิดให้ผู้ร่วมโหวตเสนอและโหวตเพจที่ตัวเองคิดว่าสมควรได้รับเลือกและได้
เป็นเพจแห่งปี และปิดโหวตในเมื่อเวลา 23.59 น. วันที่ 25 ธ.ค.55
ท่ามกลางการมีส่วนร่วมสนุกจากเพจที่ถูกเสนอชื่อ และการเสพ “ดราม่า”
เป็นระยะ โดยที่สุดมีการโหวตทั้งสิ้น 371,272 โหวต
มีการแสดงความเห็นท้ายกระทู้โหวต 6,792 ความเห็น โดย10 เพจแห่งปี 2012
ประกอบด้วย เพจ VRZO, 9Gag in Thai/9GAG in Thai, Drama-addict, สมรัก พรรคเพื่อเก้ง, โหดสัส V2, เฮ้ย! นี่มันตัดต่อชัด ชัด, Dora GAG, ออกพญาหงส์ทอง, วิรศากดิ์ นิลกาด และช้างเป็นสัตว์กินเลือด
ทั้งนี้ในปัจจุบัน เฟซบุ๊กโดยเฉพาะในรูปแบบแฟนเพจในไทยมีการเติบโตอย่างมากทั้งในเชิงการค้า การเมืองและสังคม มีการหยิบเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้มาใช้ ล่าสุดข้อมูลจาก Zocialrank.com ระบุว่าประเทศไทยมีแฟนเพจเฟซบุ๊กประมาณ 3 แสนเพจ เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อันดับสองคือฟิลิปปินส์มีเพียง 2 หมื่นกว่าเพจเท่านั้น และในระดับโลกกรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุดในโลกอีกด้วยคือ 12,797,500 บัญชี
ทีมงานประชาไทสรุป 10 ข่าวเด่นรอบปี 2555 โดยนับจากจำนวนผู้เข้าชมและการแชร์ โดยมีข่าวที่ติด 10 อันดับแรก เรียกจากจำนวนผู้อ่านมากที่สุดและจำนวนผู้อ่านรองลงมาตามลำดับ มีดังนี้
10 ข่าวเด่นประชาไทในรอบปี 2555
1. ความจริงเท่าที่ทราบ' ต่อกรณีภาพยนตร์ฉาว Innocence of Muslim, 2012-09-13 , http://prachatai.com/journal/2012/09/42619
2. จำนรรจา นารีหลุดกาล: คุยกับแอดมิน "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์", 2012-09-14, http://prachatai.com/journal/2012/09/42635
3. คำต่อคำสัมภาษณ์ 'อภิสิทธิ์' ใน 'บีบีซี': พ้อ-ไม่แฟร์ที่หาว่า "สั่งใช้กระสุนจริง" เท่ากับ "ฆ่าคน", 2012-12-11, http://prachatai.com/journal/2012/12/44161
4. คำสั่งรักษาด่านศอฉ.ใช้ "พลแม่นปืน" หากผู้ก่อเหตุปะปนผู้ชุมนุม - หากยิงไม่ได้ให้ใช้ "สไนเปอร์", 2012-08-18, http://prachatai.com/journal/2012/08/42125
5. "อ.วีระ" แนะคนโทรเข้ารายการ-ให้ค้นคว้าข้อมูลก่อนด่า "นิติราษฎร์", 2012-02-02, http://prachatai.com/journal/2012/02/39063
6. ฟอร์บส์วิเคราะห์ สนง.ทรัพย์สินฯ แย้งตัวเลขในหนังสือ ‘A Life’s Work’, 2012-01-26, http://prachatai.com/journal/2012/01/38952
7. เปิดจดหมาย เรื่องเล่าชีวิตในเรือนจำ (ฉบับละเอียดที่สุดในประเทศไทย), 2012-01-25, http://prachatai.com/journal/2012/01/38931
8. สัมภาษณ์พิเศษ 'จักรภพ เพ็ญแข': คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน, 2012-04-03, http://prachatai.com/journal/2012/04/39944
9. อัยการสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องโชติศักดิ์ คดีไม่ยืนในโรงหนัง, 2012-07-18, http://prachatai.com/journal/2012/07/41608
10. ชาวกัมพูชาโวยนักข่าวไทยเหยียบกระดาษที่มีรูปสมเด็จพระนโรดม สีหนุ, 2012-10-17, http://prachatai.com/journal/2012/10/43202
โดยประชาไทรีวิวทั้ง 10 ข่าวเรียงตามลำดับเวลาดังต่อไปนี้มกราคม 2555
[1] เปิดจดหมาย เรื่องเล่าชีวิตในเรือนจำ (ฉบับละเอียดที่สุดในประเทศไทย),
25 มกราคม 2555 [ http://prachatai.com/journal/2012/01/38931]จำนวนแชร์ 69 ครั้ง จำนวนรีทวีต 62 ครั้ง
'เล่าซัน' เป็นนามแฝงของนักโทษคดีการเมืองผู้ มีประสบการณ์ตรงในเรือนจำแห่งหนึ่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคมเขาได้ส่งจดหมายมายังประชาไท หลังจากที่เขารวบรวมและส่งต่อข้อมูลสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังในเรือนจำ ด้วยความหวังของทั้งเขาและเราว่า การรับรู้ของสังคมจะทำให้เกิดการปรับปรุง “ระบบ” ยุติธรรมไทย โดยเฉพาะพื้นที่คุมขังประชาชนชายขอบที่สุดกลุ่มหนึ่งของสังคม
โดยในรายงานจาก 'เล่าซัน' ได้บันทึกเกี่ยวกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังในเรือนจำอย่าง ละเอียดแทบทุกมิติ ตั้งแต่ภาระกิจส่วนตัวนับตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงกลับเข้าเรือนนอน ทั้งเรื่องสภาพความเป็นอยู่ การรับประทานอาหาร การอนามัย การซื้อสินค้าในเรือนจำ ไปจนถึงเรื่องการขับถ่าย สิ่งแทน 'เงิน' ที่ใช้ในเรือนจำ รวมไปถึงเรื่องการทำงานหนักในเรือนจำ ที่งานบางประเภทหากทำไม่ได้ตามเป้าจะถูกผู้คุมเรือนจำลงโทษ พร้อมตั้งคำถามว่าผลประโยชน์จริงๆ ของเรื่องนี้ไปตกอยู่ในกระเป๋าของใคร
จดหมายของ 'เล่าซัน' มีการทยอยนำเสนอเป็น 2 ตอน สำหรับตอนที่สอง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ [http://prachatai.com/journal/2012/01/38960]
[2] ฟอร์บส์วิเคราะห์ สนง.ทรัพย์สินฯ แย้งตัวเลขในหนังสือ ‘A Life’s Work’,
26 มกราคม 2555 [http://prachatai.com/journal/2012/01/38952]จำนวนแชร์ 1,086 ครั้ง จำนวนรีทวีต 6 ครั้ง
บทรายงานที่ถูกแชร์เกิน 1 พันครั้งนี้แปลมาจากบทรายงานของนิตยสารฟอร์บ นิตยสารด้านการเงินและธุรกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งตีพิมพ์บทความว่าด้วยรายได้และการลงทุนของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดย วิเคราะห์จากข้อมูลในหนังสือพระราชประวัติกึ่งทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเล่มล่าสุด ‘King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work’ โดยชี้ว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ประเมินทรัพย์สินที่เป็น ที่ดิน คิดเป็นมูลค่าเพียงหนึ่งในสามของที่ฟอร์บส์เคยวิเคราะห์ไว้
ในบทรายงานยังระบุว่าในหนังสือ ‘King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work’ ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นที่ปรึกษาบรรณาธิการ ละเลยการพูดถึงการถือหุ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในกลุ่ม โรงแรมเยอรมัน ‘เคมพินสกี้ เอจี กรุ๊ป’ และบริษัทประกันเทเวศประกันภัย ซึ่งรวมกันมีมูลค่าราว 600 ล้านดอลลาร์ จากมูลค่าประเมินในปี 2551 ด้วยการลงทุนทั้งหมดนี้ ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กลายเป็นกลุ่มบรรษัทที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย
ในตอนท้ายของรายงาน ฟอร์บส์สรุปโดยเปรียบเทียบกับสถาบันกษัตริย์ของประเทศในยุโรป เช่นในกรณีของสเปนซึ่งปกครองในระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ราว 12 ล้านดอลลาร์ ส่วนสถาบันกษัตริย์ของประเทศอังกฤษ ใช้ราว 50 ล้านดอลลาร์ แต่ยกรายได้ส่วนใหญ่ที่เข้ามาทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้กับ กรมคลังของประเทศ และประชาชนเองก็สามารถตรวจสอบข้อมูลด้านการเงินดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีของประเทศไทยฟอร์บระบุว่า ความโปร่งใสในสถาบันดังกล่าว เห็นจะเป็นหนทางที่ยังต้องใช้เวลาอีกนาน
กุมภาพันธ์ 2555
[3] "อ.วีระ" แนะคนโทรเข้ารายการ-ให้ค้นคว้าข้อมูลก่อนด่า "นิติราษฎร์"2 กุมภาพันธ์ 2555 [http://prachatai.com/journal/2012/02/39063]
จำนวนแชร์ 214 ครั้ง จำนวนรีทวีต 18 ครั้ง
ในช่วงที่คณะนิติราษฎร์ มีข้อเสนอทางวิชาการให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งนอกจากเสียงสนับสนุนแล้ว ยังมีมีเสียงคัดค้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม แบ่งออกเป็นฝ่ายที่คัดค้านโดยการแสดงเหตุผล และฝ่ายที่คัดค้านโดยประกาศจะทำร้ายคณะนิติราษฎร์
โดยเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางรายการ "คุยได้คุยดี Talk News & Music" ทางคลื่น 96.5 MHz อสมท. ดำเนินรายการโดยนายวีระ ธีระภัทรานนท์ หรือ "อาจารย์วีระ" ช่วงหนึ่งได้มีผู้โทรศัพท์เข้ามาแสดงความเห็นในเชิงตำหนิและระบุว่าต้องการ จะตัดคอกลุ่มนิติราษฎร์ (ฟังคลิปเสียง) ซึ่งทำให้นายวีระรีบตัดบท และถามผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาว่ารู้จักกลุ่มนิติราษฎร์หรือไม่ว่าสมาชิกประกอบ ด้วยใคร และถามด้วยว่ารู้ข้อความในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ และยังแนะนำให้กลับไปค้นคว้าข้อมูลจะได้มีพื้นฐานในการแสดงความรู้สึก ก่อนวางสาย โดยท้ายรายการนายวีระระบุด้วยว่าการเคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายอาญามาตราดังกล่าวเคยมีการแก้ไขมาแล้วในปี 2519
อย่างไรก็ตามในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ก็เกิดเหตุชาย 2 คนเข้ามาดักทำร้าย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกคณะนิติราษฎร์ โดยภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ ด้านนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ก็แถลงยืนยันว่าแม้จะเกิดเหตุทำร้ายขึ้น แต่จะไม่ยุติบทบาททางวิชาการ
เมษายน 2555
[4] สัมภาษณ์พิเศษ 'จักรภพ เพ็ญแข': คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน
3 เมษายน 2555 http://prachatai.com/journal/2012/04/39944จำนวนแชร์ 1,123 ครั้ง จำนวนรีทวีต 31 ครั้ง
หลังลี้ภัยทางการเมืองมานานกว่า3 ปี หลังการสลายการชุมนุม เดือนเมษายนปี 2552ในปลายเดือนมีนาคมปี 2555 ที่กรุงพนมเปญ ผู้สื่อข่าวประชาไทมีโอกาสสัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ในฐานะ “คนไกลบ้านที่ลี้ภัยการเมืองมานานกว่า 3 ปี” และ “นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศที่อยู่ในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นเนื้อเดียวกับแกนนำในขบวนการต่อสู้ด้วยกันนัก และถูกกล่าวหาด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112” ว่า 3 ปีที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย เขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และกำลังคิด-ทำอะไรอยู่”
จักรภพตั้งประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ประการแรกคือ เขามองเห็นว่าเมืองไทยภายใต้กระแสปรองดองนั้นเป็นวาระพักรบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทางเลือกที่สามของการเรียกร้องประชาธิปไตยเกิด ขึ้น แม้จะยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของทางสายนี้ แต่เขาเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะตั้งคำถามให้คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เลือกว่า จะสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมหรือสู้เพียงเพื่อรวบสังคมมาเป็นของตัวเอง สอง เมื่อถามเรื่องบทบาทของทักษิณ ชินวัตรในขบวนต่อสู้ จักรภพยังคงแสดงความหวังว่าทักษิณมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในขบวนการเปลี่ยน แปลงสังคมแต่นั่นเป็นสิ่งที่ทักษิณต้องเลือกเองว่าจะเลือกทางสบายหรือลำบาก และสุดท้าย เงื่อนไขในการกลับประเทศ แม้ว่าจะข้อกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นอัยการจะสั่งไม่ฟ้องไปแล้วในวันเดียวกับที่เขาให้สัมภาษณ์ประชาไท แต่นั่นไม่ใช่แรงจูงใจที่จะทำให้เขาเดินทางกลับเข้าประเทศ
กรกฎาคม 2555
[5] อัยการสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้องโชติศักดิ์ คดีไม่ยืนในโรงหนัง18 กรกฎาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/07/41608
จำนวนแชร์ 5,215 ครั้ง จำนวนรีทวีต 149 ครั้ง
กรณีโชติศักดิ์ อ่อนสูง และการถูกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุาภาพเพราะไม่ยืนในโรงหนัง เริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 กันายน 2550 โดยนายนวมินทร์ วิทยกุล ได้ขว้างปาข้าวโพดคั่วและกระดาษใส่นายโชติศักดิ์ และเพื่อน เนื่องจากทั้งสองไม่ยืนขึ้นเมื่อมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรง ภาพยนตร์แห่งหนึ่ง
นายโชติศักดิ์และเพื่อน จึงฟ้องนายนวมินทร์ ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้า ทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ, และทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถาน
จากนั้นนายนวมินทร์ได้ฟ้องกลับนายโชติศักดิ์และเพื่อนกลับด้วยข้อหาหมิ่น พระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยความคืบหน้าคดีในวันที่ 19 กันายน 2551 พนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายนวมินทร์ และวันที่ 20 ตุลาคม 2551 ตำรวจได้ส่งสำนวนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา กรุงเทพใต้
เวลาผ่านมากว่า 4 ปี กระทั่งต่อมาในเดือนเมษายน 2555 อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพฯ ใต้ 4 มีหนังสือแจ้งไปยังสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยคำวินิจฉัยของอัยการระบุว่า พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ต้องหาไม่ลุกขึ้นเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และมีการพูดว่า "ทำไมต้องยืนด้วยไม่มีกฎหมายบังคับ" นั้น เห็นว่าการกระทำดังกล่าวมิได้แสดงออกซึ่งวาจาหรือกิริยาอันจะเข้าลักษณะเป็น การดูถูก เหยียดหยาม ทำให้อับอาย เสียหาย สบประมาท ด่าว่า และการกล่าวหรือโต้เถียงเกิดขึ้นหลังจากเพลงจบแล้ว แม้จะเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมและไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้อง ปฏิบัติก็ตาม แต่การกระทำของผู้ต้องหาทั้งยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีเจตนาดูหมิ่นพระมหา กษัตริย์ อีกทั้งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง
สิงหาคม 2555
[6] คำสั่งรักษาด่านศอฉ.ใช้ "พลแม่นปืน" หากผู้ก่อเหตุปะปนผู้ชุมนุม - หากยิงไม่ได้ให้ใช้ "สไนเปอร์"
18 สิงหาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/08/42125จำนวนแชร์ 708 ครั้ง จำนวนรีทวีต 135 ครั้ง
ในเดือนสิงหาคม 2555 ผู้สื่อข่าวประชาไทได้รับเอกสารสั่งการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) “ส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.0407.45 (สยก.)/130” ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 เรื่อง “ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่” ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น
โดยเอกสารมีทั้งหมด 5 หน้า ใจความสำคัญคือการระบุแนวทางปฏิบัติ หากมี “ผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมากับกลุ่มผู้ชุมนุม และใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อเจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์”
ในข้อ 2.5 ระบุว่า “ในกรณีพบความผิดซึ่งหน้าในลักษณะผู้ก่อเหตุใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ หรือใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญที่ ศอฉ. กำหนด ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้ แต่หากผู้ก่อเหตุอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมจนอาจทำให้การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้งดเว้นการปฏิบัติ ยกเว้นในกรณีที่หน่วยได้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ นอกจากนี้หากหน่วยพบเป้าหมายแต่ไม่สามารถทำการยิงได้ เช่น เป้าหมายอยู่ในที่กำบัง ฯลฯ หน่วยสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ. ได้”
โดยการเผยแพร่เอกสารคำสั่งของ ศอฉ. ครั้งนี้ นับเป็นการหักล้างการแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 16 ส.ค. 55 ที่ปฏิเสธว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์ เป็นเพียงปืนติดลำกล้องเพื่อใช้ระวังป้องกัน ซึ่งในตลาดนัดก็มีขายสำหรับใช้ยิงนก ขณะที่เมื่อ 16 พ.ค. 53 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่โฆษก ศอฉ. ด้วยก็ปฏิเสธว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์ มีเพียง “พลแม่นปืนระวังป้องกัน” ทำหน้าที่คุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ต่ำหรือตามถนนหนทางโดยทั่วไป เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะมีหน้าที่ในการตรวจสอบว่ามีบุคคลผู้ใดถืออาวุธหรือจะ เข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ และจะใช้การยิงคุ้มครอง (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อมาภายหลังการเผยแพร่เอกสาร พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ออกมายอมรับว่าเป็นเอกสารฉบับจริง แต่อ้างว่าผู้ที่นำเอกสารฉบับนี้มาปล่อยเข้าใจว่ามีนัยยะเรื่องอื่น เพราะเอกสารมีอยู่ 5 แผ่น แต่เลือกนำแผ่นสุดท้ายมาปล่อย และยืนยันว่าการปฏิบัติงานของ ศอฉ. ยึดหลักสากลจากเบาไปหาหนัก “หากการปฏิบัติจากเบาไปหาหนักนั้นไม่สามารถจะระงับยับยั้งการปฏิบัติที่ผิด กฎหมายก่อให้เกิดอันตรายต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ได้ เราก็จำเป็นที่ต้องใช้พลแม่นปืนระวังป้องกัน” อย่างไรก็ตามประชาไทเผยแพร่เอกสารทุกหน้า ไม่ใช่หน้าเดียวอย่างที่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวหา (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ก่อนหน้านี้เมื่อ 18 มี.ค 54 พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้นำรายงานบัญชีสรุปรายการเบิกจ่ายกระสุนจากหน่วยคลังแสงสรรพาวุธทหารบก เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตั้งแต่ 11 มี.ค. 53 จนถึงเสร็จสิ้นการโดยมีการเบิกกระสุนจากคลังแสงทหารบกกว่า 597,500 นัด ส่งคืน 479,577 นัด ใช้ไป 117,923 นัด เผยมีการเบิกกระสุนปืนซุ่มยิง 3,000 นัด คืนเพียง 880 นัด ขณะที่เบิกกระสุนซ้อมเพียง 10,000 นัด ส่งคืน 3,380 นัด (ข่าวที่เกี่ยวข้อง)
กันยายน 2555
[7] ความจริงเท่าที่ทราบ' ต่อกรณีภาพยนตร์ฉาว Innocence of Muslim
13 กันยายน 2555 http://prachatai.com/journal/2012/09/42619จำนวนแชร์ 716 ครั้ง จำนวนรีทวีต 7 ครั้ง
จากกรณีกลุ่มติดอาวุธชาวลิเบียบุกเข้าโจมตีสถานทูตสหรัฐอเมริกา ในลิเบียเมื่อวันที่ 11 กันยายน จนเป็นเหตุให้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต เนื่องจากไม่พอใจภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง "Innocence of Muslim" ที่ดูหมิ่นศาสดาของศาสนาอิสลาม ต่อมาประชาไทได้แปลบทรายงานของสำนักข่าวอัลจาซีร่านำเสนอเกร็ดที่มาของ ภาพยนตร์ล้อเลียน ที่กลายเป็นเหตุให้เกิดการต่อต้านจากในลิเบีย และการประท้วงในอียิปต์
โดยนักแสดงที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์ดังกล่าว ที่ผู้กำกับเป็นชาวอิสราเอล-อเมริกันใช้ชื่อว่า “แซม บาไซล์” บอกว่า เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาสดามูฮัมหมัดหรืออิสลาม ในตอนแรกพวกเขาถูกเรียกมาคัดเลือกนักแสดงในภาพยนตร์ที่ชื่อ "นักรบแห่งทะเลทราย" โดย ผู้กำกับที่ชื่อ “อลัน โรเบิร์ท” และการกล่าวอ้างอิงถึงศาสนาในภาพยนตร์เพิ่งมีการนำมาอัดเสียงพากษ์ใส่ทีหลัง สำหรับข่าวนี้ถือเป็นข่าวที่มีจำนวนผู้อ่านที่สูงที่สุดในปี 2555
[8] จำนรรจา นารีหลุดกาล: คุยกับแอดมิน "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์"
14 กันยายน 2555 http://prachatai.com/journal/2012/09/42635จำนวนแชร์ 9,992 ครั้ง จำนวนรีทวีต 179 ครั้ง
“ถิ่นนี้มีอันตรายร้ายแรงยิ่งนัก หากมิใช่คนตัวกลั่นแท้แล้วไซร้ เห็นทีจักเอาชีวิตรอดมิได้เป็นแม่นมั่น” (แปล - แถวนี้แม่งเถื่อน บอกตรงๆนะถ้าไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้) “พลันมีเสียงกัมปนาทแปลบเปรี้ยง บัดเดี๋ยวกลายเป็นข้าวพองกรอบ” (แปล - บู้ม!!! กลายเป็นโกโก้ครั้นช์) หรือ “อยู่บุรีมีจริต ชีพจักต้องวิลิศมาหรา” (แปล - อยู่เมืองดัดจริต ชีวิตต้องป๊อป)
และอีกหลายประโยคที่หลายคนในเฟซบุ๊กที่มาจากเพจ "ตะละแม่ป๊อปคัลเจอร์" ให้ชาวเน็ตได้ทายว่าความหมายคืออะไร โดยในเดือนกันยายน ประชาไทได้มีโอกาสสัมภาษณ์ 3 แอดมิน ถึงที่มาและแนวคิดในการตั้งเพจดังกล่าว ที่ปัจจุบัน (ธันวาคม 2555) มีผู้คนกดไลค์เพจกว่า 6.5 หมื่นคน
“จริงๆ เพจนี้ก็ไม่ใช่เพจล้อเลียนอย่างเดียว เส้นกั้นระหว่าง parody กับ homage มันบางมาก เพจนี้แม้จะดูเป็นเพจล้อเลียน แต่ก็ทำขึ้นมาด้วยความชื่นชอบ เราชอบภาษาแบบโบราณ เห็นว่ามันเก๋ดี แต่ในขณะเดียวกันเราก็โตมากับวัฒนธรรมป๊อป ดูหนังฮอลลีวู้ด ใส่กางเกงยีนส์ เราเลยอยากนำสองค่ายมาผสมผสานกัน เป็นเหมือนโรบินฮูดที่ขโมยภาษาศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นสูงมาให้ความสนุกสนาน แก่ชนชั้นกลางธรรมดาสามัญทั่วไปค่ะ
ส่วนเป้าหมายรองของเพจเรา ก็คือต้องการล้อเลียนแนวคิดชาตินิยมที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน โดยการแสดงให้เห็นว่าไม่มีวัฒนธรรมที่เป็น "ไทยแท้" แม้แต่ภาษาที่ดูโบราณและดูเป็นไทยจ๋าๆ ก็ยังยืมมาจากภาษาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชื่อว่า ตะละแม่ ซึ่งไม่ใช่คำเรียกเจ้าหญิงของไทย แต่ก็เป็นคำที่ปรากฏในวรรณกรรมขึ้นหิ้งของไทย ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นความไม่เป็นเหตุเป็นผลของวาทกรรมชาตินิยมค่ะ”
หลังการสัมภาษณ์แอดมินเพจได้ตั้งชื่อให้กับประชาไทด้วยว่าคือ “อิสรมานพ” หรือประชาไทในภาษาของตะละแม่ฯ ด้วย
ตุลาคม 2555
[9] ชาวกัมพูชาโวยนักข่าวไทยเหยียบกระดาษที่มีรูปสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
17 ตุลาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/10/43202จำนวนแชร์ 665 ครั้ง จำนวนรีทวีต 48 ครั้ง
ในช่วงที่มีการไว้อาลัยการสวรรคตของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เกิด กระแสความไม่พอใจชาวกัมพูชาซึ่งมีการแชร์ภาพ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวช่องสาม โดยกล่าวหาว่าเป็นการยืนทับกระดาษที่มีรูปสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์ที่เพิ่งสวรรคตขณะรายงานข่าวจากกรุงพนมเปญ
โดยต่อมา มีการชี้แจงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ระบุว่าได้สอบถามจาก น.ส.ฐปณีย์ แล้วโดยยืนยันว่า น.ส.ฐปณีย์ “ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ หรือแสดงความไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวกัมพูชา” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการรายงานข่าวประชาชนกัมพูชาไว้อาลัยสมเด็จ พระนโรดม สีหนุ ที่บริเวณหน้าพระราชวังจตุรมุขมงคล “ด้วยลักษณะที่ต้องยืนรายงาน ทำให้ต้องวางสิ่งของส่วนตัว ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ สมุดจดบันทึก หนังสือพิมพ์ ซึ่งลงภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ตีพิมพ์หลักจากที่เสด็จสวรรคต และได้วางไว้ที่พื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งได้วางห่างจากตัวพอสมควร แต่เนื่องจากภาพที่ปรากฏในเฟซบุ๊ค ถ่ายจากด้านข้างค่อนไปทางด้านหลัง จึงทำให้เห็นว่าสิ่งของทั้งหมดวางอยู่ใกล้ตัว" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ลุกลามบานปลาย โดยหลังการชี้แจงของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 คณะของ น.ส.ฐปณีย์ได้เดินทางไปที่สถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเพื่อทำพิธีขอขมา
ต้องบันทึกไว้ด้วยว่า ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ร้องขอไม่ให้สื่อมวลชนเผยแพร่รูปในกรณีของ น.ส.ฐปณีย์ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยในเวลาต่อมากองบรรณาธิการประชาไทได้ตัดสินใจไม่นำเสนอภาพดังกล่าวในข่าว แต่ยังคงลิ้งที่ไปยังภาพดังกล่าว โดยเคารพในการใช้วิจารณญาณเองของผู้อ่าน
ธันวาคม 2555
[10] คำต่อคำสัมภาษณ์ 'อภิสิทธิ์' ใน 'บีบีซี': พ้อ-ไม่แฟร์ที่หาว่า "สั่งใช้กระสุนจริง" เท่ากับ "ฆ่าคน"
11 ธันวาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/12/44161จำนวนแชร์ 1,543 ครั้ง จำนวนทวีต 111 ครั้ง
ในเดือนธันวาคม ประชาไทแปลบทคำสัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ BBC World News ทาง สถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษ ต่อเรื่องการสั่งฟ้องและการมีส่วนรับผิดชอบในคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม ที่มีสาเหตุจากเจ้าหน้าที่รัฐในระหว่างการสลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม 2555 โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีการใช้กำลังทหารและการใช้ กระสุนจริงในระหว่างการสลายการชุมนุม และว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากมีกลุ่มติดอาวุธอยู่ในพื้นที่ชุมนุม หรือชายชุดดำ ซึ่งยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้ชุมนุม และยังกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตราว 20 คน ที่สรุปได้แล้วว่า เสียชีวิตจากกลุ่มติดอาวุธภายในผู้ชุมนุม ขณะที่ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทยไม่กี่วันก่อนหน้านี้ว่า เหตุใดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศอฉ. รวมถึงตัวเขาซึ่งไม่มีตำแหน่งใน ศอฉ. และไม่ได้ลงนามคำสั่ง กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล โดยผู้ฟ้องคือนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ในรายงานข่าวผู้ดำเนินรายการ น.ส.มิชาล ฮุสเซน ถามแย้งนายอภิสิทธิ์ว่า ในรายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ที่ทำการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว ชี้ว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เสียชีวิตมาจากทหาร และถามว่า ยอมรับหรือไม่ว่าผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหาร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า จาก 20 คดีที่ได้ทำการสอบสวนไป มีเพียงสองคดีเท่านั้นที่เสียชีวิตจากกระสุนปืนของทหาร นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่า ผู้ชุมนุมได้ปล้นปืนของทหารไปด้วย
ต่อคำถามของผู้ดำเนินรายการว่า นายอภิสิทธิ์ยอมรับหรือไม่ว่าตนมีส่วนรับผิดชอบในการเสียชีวิตบางส่วน เขาตอบว่า ไม่ เพราะการตั้งข้อกล่าวหาต่อตนเองในตอนนี้ มาจากคดีการเสียชีวิตของคนที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุมด้วยซ้ำ (หมายถึง - คดีนายพัน คำกอง คนขับรถแท็กซี่เสียชีวิต) แต่เป็นเพียงผู้เห็นเหตุการณ์ที่บังเอิญออกมาดูและโชคร้ายที่เขาโดนลูกหลง เข้า
เขากล่าวยอมรับว่า ตนเป็นผู้สั่งใช้กระสุนปืนจริง แต่มิได้รู้สึกเสียใจต่อการออกคำสั่งดังกล่าว เพราะเป็นวิธีที่จะสามารถจัดการกับกลุ่มผู้ที่ติดอาวุธได้ และกล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อปี 53 เป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงจริง แต่หากไม่มีกลุ่มชายชุดดำที่มีอาวุธและยิงตำรวจ ทหารและประชาชน ความรุนแรงและความเสียหายดังกล่าวก็คงจะไม่เกิดขึ้น
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลชุดของเขาเป็นรัฐบาลแรกที่อนุญาตให้ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ อัยการ และศาลเข้าสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว เขากล่าวว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตนก็จะยอมรับโทษนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นโทษประหารชีวิต และขอเรียกร้องแบบเดียวกันต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และสมาชิกในรัฐบาลนี้ ให้ทำแบบเดียวกันด้วย
(แถม)
ผลโหวต 10 แฟนเพจเฟซบุ๊ก ปี 2012
26 ธันวาคม 2555 http://prachatai.com/journal/2012/12/44407จำนวนแชร์ 11,600 ครั้ง จำนวนรีทวีต 310 ครั้ง
ทั้งนี้ในปัจจุบัน เฟซบุ๊กโดยเฉพาะในรูปแบบแฟนเพจในไทยมีการเติบโตอย่างมากทั้งในเชิงการค้า การเมืองและสังคม มีการหยิบเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้มาใช้ ล่าสุดข้อมูลจาก Zocialrank.com ระบุว่าประเทศไทยมีแฟนเพจเฟซบุ๊กประมาณ 3 แสนเพจ เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อันดับสองคือฟิลิปปินส์มีเพียง 2 หมื่นกว่าเพจเท่านั้น และในระดับโลกกรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองที่มีบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุดในโลกอีกด้วยคือ 12,797,500 บัญชี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น