ตัดหน้าการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ วาระสามของสภา
(จากเว็บบล็อก Thais' genuine democracy revival)
กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยกคำร้องของพรรคฝ่ายค้าน
และสมาชิกวุฒิสภาแบบลากตั้ง (สรรหา) จำนวนหนึ่งที่ยื่นต่อศาลฯ กล่าวหาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา
๒๙๑ เพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)
ชุดใหม่ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
จนกระทั่งผ่านวาระสองมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
ยังค้างเติ่งรอการลงมติวาระสามนั้นเป็นการล้มล้างการปกครอง
หากแต่ได้มีตุลาการท่านหนึ่งในจำนวนเสียงข้างมาก
๕ เสียงแสดงความเห็นระบุไว้ในคำวินิจฉัยกลางว่า
ถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับน่าจะจัดให้ประชาชนลงมติเสียก่อนว่าต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
จากนั้นก็เป็นที่ถกเถียงกันมากในระหว่างฝักฝ่ายทางการเมืองทั้งสองข้าง
พรรคฝ่ายค้านนั้นถึงกับประกาศออกมาว่าจะรณรงค์ “คว่ำ” การทำประชามตินี้ ในส่วนพรรครัฐบาลก็บังเกิดอาการตื่นกลัวในคำวินิจฉัยศาล
รธน. ทั้งที่บนปกหน้าเห็นได้ว่าเป็นการยอมรับให้แก้ไข รธน.ได้ แต่ในความเห็นเสริมจะกลายเป็นกับดักให้มีผู้ไปยื่นคำร้องยุบพรรค
และถอดถอนบรรดาผู้สนับสนุน โดยถือว่าการลงมติวาระสามเป็นการกระทำผิดครบองค์ประกอบ
ซึ่งแต่เดิมยังคาราคาซังอยู่แค่ผ่านวาระสองความผิดยังไม่สำเร็จ
ทางคณะรัฐมนตรีมีมติ
และนายกรัฐมนตรี น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ได้แถลงแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ได้หาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้ง ณ
บัดนี้มีทางเลือกสองอย่าง คือการทำประชาเสวนา และประชามติ เท่ากับตัดเรื่องการลงมติวาระสามออกไป
มิใยที่ นปช.
หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติซึ่งเป็นแนวร่วมใกล้ชิดของรัฐบาล
และมีแกนนำบางคนได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี เป็นสมาชิกสภาในสังกัดพรรคเพื่อไทย
ประกาศออกมาชัดเจนในลักษณะที่บางคนเรียกกันว่า “ปฏิญญาเขาใหญ่” ไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติตัดหน้าการลงมติวาระสาม*(1)
จึงยิ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นว่ารัฐบาล
โดยผ่านทางมติคณะรัฐมนตรีนี้ ตัดสินใจอย่างสุกเอาเผากิน
เพียงเพื่อให้เป็นไปตามความเห็นของตุลาการศาล รธน.
นัยว่าเพื่อการปรองดองกับฝ่ายตรงข้ามที่มีฐานะเหนือกว่าคู่กัด
โดยไม่คำนึงผลกระทบในด้านนิติรัฐ และนิติธรรม ในเมื่อการแก้รัฐธรรมนูญ ม. ๒๙๑
ที่คั่งค้างอยู่นั้นเป็นการดำเนินการอันถูกต้อง สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
หากชิงทำประชามติตัดหน้าจะกลับกลายเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๖๕ ไปเสียฉิบ*(2)
มิพักจะต้องคำนึงถึงจำนวนเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการทำประชามตินี้อีกราว
๒,๕๐๐ ล้านบาท แล้วหากประชามติผ่านเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จก็ต้องไปทำประชามติอีกหน
จะเป็นการผลาญงบประมาณเพื่อถ่วงเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญบนข้ออ้างแห่งการปรองดอง ทั้งๆ
ที่ฝ่ายค้านที่เป็นคู่กัดตัวเปิดก็ตะบันค้านเสียจนไม่พะวงว่าการประกาศคว่ำประชามตินั่นก็เป็นความผิดฐานกลั่นแกล้ง
และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ตามพระราชบัญญัติพรรคการเมืองมาตรา ๙๔ และ ๑๐๔
ที่ศาลอาจสั่งให้ตัดสิทธิทางการเมืองไม่เกิน ๕ ปีได้*(3)
อย่าง
ไรก็ดีเมื่อเสียงทักท้วง
และเสียงค้านดะอื้ออึงขึ้นมา ก็เกิดแนวคิดเลี่ยงบาลี
เพราะมีความเห็นจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่าให้ทำการแก้รัฐธรรมนูญเป็น
รายมาตราแทนได้
(เนื่องจากฝ่ายค้านปัจจุบันเมื่อครั้งเป็นรัฐบาลก็เคยแก้รัฐธรรมนูญแนวนี้มา
แล้ว)
ท้ายที่สุดคณะรัฐมนตรี และตัวแทนพรรคร่วมนัดหมายกันไปปรึกษาหาทางในวันที่ ๖
- ๗
มกราคม ๒๕๕๖ นี้ว่าจะเลือกดำเนินการอย่างใดแน่
ทำให้ประชาชนบางส่วนมีความหวังว่าการกลับไปลงมติเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ
ม. ๒๙๑
วาระสามให้ครบถ้วนกระบวนความตามอำนาจรัฐสภาเสียก่อนแล้วค่อยทำประชามติ
ยังอาจเป็นทางเลือกหนึ่งได้
ผู้เขียนพร้อมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เห็นพ้องต้องกันจำนวนหนึ่งจึงจำเป็นต้องทำบันทึกเตือนใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์
และพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ ในฐานะที่เราเป็นเสียงประชาชนผู้เลือกให้พรรคเพื่อไทย
และน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลอย่างสง่างามเมื่อเดือนกรกฎาคม
๒๕๕๔ ด้วยความหวังอย่างหนึ่งตามที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศเป็นนโยบายไว้ว่า
จะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
ปลอดจากสลักอำนาจเผด็จการของคณะรัฐประหาร
ว่าการจะจัดให้มีประชามติตัดหน้าการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ม. ๒๙๑ วาระสาม เป็นการละเมิดอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของรัฐสภา
แม้จะตีความว่าการละเลยไม่ลงมติให้ครบกระบวนการดังกล่าวเป็นการปฏิเสธรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นผลพวงของคณะรัฐประหาร
ไม่เป็นที่ต้องการอยู่แล้วโดยปริยายก็ตาม
ทว่าครรลองของระบอบรัฐธรรมนูญก็ต้องรักษาไว้
มิใช่ใช้ภาพลักษณ์ที่เด่นกว่าของฝ่ายบริหารก้าวล้ำอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ
เฉกเช่นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญใช้ศักดิ์ศรีแห่งสถาบันอันใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทองค์พระประมุขข้ามหน้าอธิปไตยของฝ่ายนิติบัญญัติ
และรัฐบาลหลายครั้ง
ว่าการจัดทำประชามติอันทำให้การลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาแล้วสองวาระเป็นการเสียเปล่านี้มีลักษณะของการเกี๊ยเซี๊ยทางการเมือง*(4)
และเกลี่ยอำนาจอธิปไตยกันในสามเส้าระหว่างคณะรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนฯ
และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่คำนึงถึงฐานะของประชาชนซึ่งเป็นอธิปัตย์อย่างแท้จริง
เป็นผลให้หลักนิติรัฐรวนเร
ว่า
การเลี่ยงบาลีใดๆ
นอกเหนือจากการลงมติวาระสามให้ครบถ้วนกระบวนการทางนิติบัญญัติเสียก่อน
จัดเป็นการเบี่ยงเบนหลักแห่งประชาธิปไตย
ผลกระทบอันสำคัญจากการกระทำเยี่ยงนี้ก็คือ ช่วยสงวนอำนาจต่างๆ
ที่คณะรัฐประหาร
คปค. สอดไส้ไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐
ในเมื่อมีรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้บางท่านให้ความเห็นที่จะเลี่ยงไปทำการแก้ไข
รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราแทน
โดยจะไม่แตะต้องมาตรา ๓๐๙*(5) ซึ่งกำหนดห้ามเอาผิดต่อ และรับประกันคำสั่งต่างๆ ของคณะรัฐประหาร คปค.
ไว้อย่างถาวร
นอกเหนือจากนั้นในการวิดีโอลิ้งค์ของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นชอบกับการทำประชามติแทนการลงมติวาระสามที่ว่าเป็นเรื่อง
“หมู” บวกกับคำให้สัมภาษณ์จากฮ่องกงต่อรายการโทรทัศน์ดาวเทียมว้อยซ์ทีวี
โดยกล่าวถึงองค์กรอิสระด้วยว่า “ต้องยังอยู่” พร้อมเสริมว่า “โครงสร้างที่มีอยู่เดิมผมว่าก็โอเค เพียงแต่การเข้าสู่อำนาจก็ดี
การก้าวพ้นอำนาจก็ดี ต้องมีความเป็นธรรมมากขึ้น
และเชื่อมโยงไปที่อำนาจประชาชนมากขึ้น”*(6)
ผู้ที่เป็นห่วงใยว่าการทำประชามติที่ต้องการให้มีผู้มาออกเสียงถึง ๒๔ ล้านคนนี้จะเป็นเรื่องหมูได้ อย่างไร ต้องลองฟังแนวคิดของอดีตสมาชิกวุฒิสภาแบบสรรหาท่านหนึ่ง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะได้คาดคะเนตัวเลขผู้จะไปใช้สิทธิลงประชามติว่าเป็นไปได้ที่จะมี ผู้ใช้สิทธิเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดราว ๔๘ ล้านคน
โดยดูจากจำนวนผู้ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
๑๕ ล้านคน พรรคร่วม (ซึ่งสนับสนุนการทำประชามติครั้งนี้) อีก ๕ ล้านคน รวม ๒๐
ล้านคน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งประกาศจะคว่ำประชามติด้วยการชักชวนประชาชนไม่ไปออกเสียง
มีผู้สนับสนุนอยู่ ๑๐ ล้านคน จึงเหลือจำนวนผู้มีสิทธิที่ไม่เป็นฝ่ายใดอยู่ ๑๘
ล้านคน ในจำนวนนี้เชื่อว่าจะมีผู้ที่นอนหลับทับสิทธิอย่างเก่งก็ ๒ ใน ๓ ทำให้จะมีผู้ไปออกเสียงเพิ่มอีก
๖ ล้านคน ก็จะได้องค์ผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น ๒๖ ล้านคนเกินกึ่งอย่างสบายๆ
ส่วนจำนวนเสียงที่จะผ่านประชามติตามกฏหมายระบุไว้ให้ใช้เกณฑ์ข้างมาก
ซึ่งก็คือราว ๑๒ ล้านคนนั้น จำนวนนี้เสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมีเพียงพอไม่ยากเย็นอะไร
โดยเฉพาะในยามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ในระหว่างคะแนนนิยมขาขึ้น
มองในแง่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองแล้วการผ่านประชามติง่ายกว่าการเอาชนะมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระสามที่ต้องได้จำนวน
ส.ส. และ ส.ว. รวมกัน ๓๖๕ เสียง
อันเป็นเรื่องน่าห่วงในสถานการณ์ที่ฝ่ายค้านปักหลักทั้งต้าน และก่อกวนสุดกำลัง
แถมยังได้ ส.ว.
ลากตั้งที่มาจากผลพวงของการรัฐประหารอีกไม่น้อยกว่าสี่สิบคอยช่วยตีซ้ำ จึงไม่แปลกใจที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์
และพรรคเพื่อไทยจะแสดงกลเม็ดเด็ดพรายเลือกใช้ประชามติตัดหน้าวาระสาม
หากแต่ว่าชั้นเชิงทางการเมืองนั้นถ้าใช้บ่อยนักมักทำให้เสียหลักการได้ง่ายๆ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังกระทำ
“กิจการ” อันเป็นเรื่องช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองแก่ตนในแบบเดิมๆ
มากกว่าความพยายามลงหลักระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงให้มั่นคง
อันรวมถึงการเชิดชูระบบรัฐสภา การจัดทำประชามติเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญแทนการลงมติวาระสามนี้เป็นการตัดหน้ารัฐสภาอย่างแจ้งชัด
แล้วยังเป็นการรบกวนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ
ทำให้ประชาชนเกิดความกังขาว่าเป็นลักษณะของการดำเนินกลยุทธทางการเมืองในแบบเดียวกับวิธีการของกลุ่มคนที่ทำการผลิต
และได้รับผลพวงของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ นั่นเอง
*(1) ดูความเห็นของนางธิดา
ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. ที่ให้เหตุผลในการคัดค้านประชามติประเด็นหนึ่งว่า “ถ้าไม่ผ่าน ความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
ก็หมดไปทันที พวกเขาจะออกมาส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ว่าแก้ไม่ได้อีกแล้ว” http://www.prachatai.com/journal/2013/01/44491
*(2)รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๕ วรรคสี่ กำหนดว่า “การออกเสียงประชามติต้องเป็นการให้ออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในกิจการตามที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ
และการจัดการออกเสียงประชามติในเรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือเกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคล
จะกระทำมิได้”
*(3) ดูคำให้สัมภาษณ์ของนายเรืองไกร
ลีกิจวัฒนะ ในรายการจุดเปลี่ยนประเทศไทย ทางสถานีดาวเทียมเอเซียอัพเดท http://www.youtube.com/จุดเปลี่ยนประเทศไทย/เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
*(4) ตามความเห็นของ
รศ. ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แห่งคณะนิติราษฎร์ กล่าวว่า “ยุทธศาสตร์การต่อสู้นี้ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจ
เขามองในลักษณะที่ว่า ช้า แต่อย่างน้อยอำนาจส่วนหนึ่งของรัฐอยู่ในมือของเขา แต่เราก็ต้องดูกันต่อไป
คือสุดท้ายมันจะได้มาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปจริงๆ หรือเปล่า
หรือว่าสุดท้ายเกมมันยาวไป คุยกันไปแล้วก็เกี๊ยเซี๊ยะกันไป จบลงไปแบบนี้
คนที่สู้มาไม่ได้อะไร สุดท้ายก็ลุกขึ้นมาทำอะไรกันเอง” http://www.prachatai.com/journal/2013/01/44488
*(5)
จากคำให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีhttp://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=17230
*(7)
สามารถรับชม และฟังได้จากคลิปยูทู้ปดังต่อไปนี้ http://www.youtube.com/ตรงไปตรงมา/คณิน
บุญสุวรรณ http://www.youtube.com/ที่นี่
เอ็มวีห้า/วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ http://www.youtube.com/จุดเปลี่ยนประเทศไทย/มานิตย์
จิตต์จันทร์กลับ http://www.youtube.com/สนทนาประชาไท/วรเจตน์
ภาคีรัตน์!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น