พันธมิตรฯ เตรียมยื่นข้อเรียกร้องรัฐบาล 8 ม.ค. นี้
ไม่รับอำนาจศาลโลก ไม่ถอนทหารจากพื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา
ไม่กลับไปเป็นภาคีมรดกโลกอีก หยุดใช้นักวิชาการที่อยู่ข้างฝ่ายกัมพูชา
และช่วยวีระ-ราตรี ลั่นจะชุมนุมใหญ่หากเข้าเงื่อนไข 3 ข้อคือแก้
รธน.แตะหมวดกษัตริย์-นิรโทษกรรมทักษิณ-มีสถานการณ์เหมาะสม
เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานวันนี้ (4 ม.ค.) ว่าที่บ้านพระอาทิตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมชุมนุมใหญ่ หากเข้าเงื่อนไข ตามแถลงการณ์ดังนี้
แถลงการณ์ฉบับที่ 1/2556
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง เตรียมพร้อมรับมือวิกฤติชาติ
ตามที่ได้การประชุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2555 ณ สวนลุมพินี พี่น้องประชาชนได้มีฉันทานุมัติเห็นชอบเป็นมติในการเคลื่อนไหวมวลชนปรากฏ เป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 2/2555 ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ
1. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใดที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
2. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรและพวก
3. เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่
ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นเมื่อใด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะแจ้งให้ทราบและพร้อมจัดให้มีการชุมนุม ใหญ่โดยทันที ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลจะใช้เล่ห์เพทุบายจัดในรูปแบบหรือพิธีกรรมใดเพื่อนำไป สู่เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง หรือหลายเงื่อนไขรวมกัน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างถึงที่ สุด
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประชาชนและสื่อมวลชนได้ให้ความสนใจต่อท่าทีของรัฐบาลซึ่งได้พยายาม เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและ เตรียมความพ่ายแพ้ในการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 นั้น ต่อกรณีดังกล่าวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยออกแถลงการณ์ 4 ฉบับ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่อแสดงว่าภาคประชาชนได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานอย่างไร และประสบผลสำเร็จอย่างไร อีกทั้งได้หาทางออกเอาไว้แล้ว ได้แก่ ฉบับที่ 3/2554 เรื่อง “ภาคประชาชนได้ต่อสู้เรื่องอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว” ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง “ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ” ฉบับที่ 5/2554 เรื่อง “บทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการใช้ MOU 2543 และจะเสียดินแดนต่อไปเพราะรับอำนาจศาลโลก” และฉบับที่ 6/2555 “ขอให้รัฐบาลชุดต่อไปปกป้องอธิปไตยของชาติ”
การแถลงการณ์ในครั้งนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศแจ้งให้ทราบว่า การเริ่มต้นความเสียเปรียบในมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้นจะนำไปสู่การเสีย ดินแดนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้หากไทยถลำลึกยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีแนวโน้มจะตีความให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษ ต่อประเทศไทยโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ ประเทศไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นมูลฐานในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภาย ใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งจะเป็นผลทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะเป็นผลทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เป็นผลสำเร็จ และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมต่อไปอีกไม่ต่ำ กว่า 1 ล้าน 8 แสนไร่ รวมถึงการสูญเสียซึ่งลามไปถึงทรัพยากรพลังงานทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
เมื่อความผิดพลาดในอดีตของหลายรัฐบาลได้ล่วงเลยมาถึงเวลานี้แล้ว จึงเป็นช่วงเวลาโอกาสสุดท้ายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รักษาสัจจะของตัวเองตามที่ได้เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งยืนยันว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตย โดยดำเนินการดังต่อไปนี้
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงมีมติให้ตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปยื่นข้อเรียกร้อง ดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 ในเวลา 10.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2556
ณ บ้านพระอาทิตย์
ที่มาของภาพประกอบหน้าแรก: http://www.flickr.com/photos/11401580@N03/2798884839/ (CC)
เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานวันนี้ (4 ม.ค.) ว่าที่บ้านพระอาทิตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมชุมนุมใหญ่ หากเข้าเงื่อนไข ตามแถลงการณ์ดังนี้
แถลงการณ์ฉบับที่ 1/2556
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง เตรียมพร้อมรับมือวิกฤติชาติ
ตามที่ได้การประชุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2555 ณ สวนลุมพินี พี่น้องประชาชนได้มีฉันทานุมัติเห็นชอบเป็นมติในการเคลื่อนไหวมวลชนปรากฏ เป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 2/2555 ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ
1. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใดที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
2. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรและพวก
3. เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่
ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการดังกล่าวข้างต้น เกิดขึ้นเมื่อใด พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะแจ้งให้ทราบและพร้อมจัดให้มีการชุมนุม ใหญ่โดยทันที ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลจะใช้เล่ห์เพทุบายจัดในรูปแบบหรือพิธีกรรมใดเพื่อนำไป สู่เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง หรือหลายเงื่อนไขรวมกัน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างถึงที่ สุด
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประชาชนและสื่อมวลชนได้ให้ความสนใจต่อท่าทีของรัฐบาลซึ่งได้พยายาม เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและ เตรียมความพ่ายแพ้ในการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 นั้น ต่อกรณีดังกล่าวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยออกแถลงการณ์ 4 ฉบับ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่อแสดงว่าภาคประชาชนได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานอย่างไร และประสบผลสำเร็จอย่างไร อีกทั้งได้หาทางออกเอาไว้แล้ว ได้แก่ ฉบับที่ 3/2554 เรื่อง “ภาคประชาชนได้ต่อสู้เรื่องอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว” ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง “ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ” ฉบับที่ 5/2554 เรื่อง “บทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการใช้ MOU 2543 และจะเสียดินแดนต่อไปเพราะรับอำนาจศาลโลก” และฉบับที่ 6/2555 “ขอให้รัฐบาลชุดต่อไปปกป้องอธิปไตยของชาติ”
การแถลงการณ์ในครั้งนั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศแจ้งให้ทราบว่า การเริ่มต้นความเสียเปรียบในมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้นจะนำไปสู่การเสีย ดินแดนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน โดยหลังจากนี้หากไทยถลำลึกยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีแนวโน้มจะตีความให้เป็นคุณต่อกัมพูชาและเป็นโทษ ต่อประเทศไทยโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะใช้การอ้างอิงกฎหมายปิดปากที่ ประเทศไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสซึ่งเป็นมูลฐานในการพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภาย ใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อ พ.ศ. 2505 ซึ่งจะเป็นผลทำให้ไทยต้องเสียดินแดนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะเป็นผลทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เป็นผลสำเร็จ และจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมต่อไปอีกไม่ต่ำ กว่า 1 ล้าน 8 แสนไร่ รวมถึงการสูญเสียซึ่งลามไปถึงทรัพยากรพลังงานทางทะเลในอ่าวไทยซึ่งมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
เมื่อความผิดพลาดในอดีตของหลายรัฐบาลได้ล่วงเลยมาถึงเวลานี้แล้ว จึงเป็นช่วงเวลาโอกาสสุดท้ายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้รักษาสัจจะของตัวเองตามที่ได้เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งยืนยันว่าจะต้องทำหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตย โดยดำเนินการดังต่อไปนี้
ประการแรก
ใช้โอกาสสุดท้ายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of
Justice) ได้กำหนดให้มีการนั่งพิจารณาคดี (public hearings)
กรณีกัมพูชายื่นคำขอตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505
ในวันจันทร์ที่ 15 เมษายน ถึงวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2556 ณ วังสันติภาพ
(Peace Palace) ซึ่งเป็นที่ทำการของศาลฯ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
โดยขอเรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศอย่างเป็นทางการว่าราช
อาณาจักรไทยถือว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในการตีความคดีนี้
และราชอาณาจักรไทยจะไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการตีความในคดี
ความนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตีความนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่ออธิปไตยและบูรณภาพ
แห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้เพราะราชอาณาจักรไทยได้ปฏิบัติตามคำ
พิพากษาครบถ้วนแล้วและเป็นที่รับทราบโดยปราศจากการคัดค้านทั้งจากราช
อาณาจักรกัมพูชาและสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
อีกทั้งราชอาณาจักรไทยยังได้แถลงประท้วง ไม่เห็นด้วย คัดค้าน
ในคำตัดสินที่ผิดพลาดและอยุติธรรม
จึงได้ตั้งข้อสงวนเอาไว้ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคตหากกฎหมายระหว่าง
ประเทศพัฒนาขึ้น
โดยคำแถลงครั้งนั้นไม่ได้มีประเทศสมาชิกในองค์การสหประชาชาติคัดค้านแต่
ประการใด
ประกอบกับราชอาณาจักรไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลยุติธรรม
ระหว่างประเทศโดยบังคับ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505
ประการที่สอง
เมื่อราชอาณาจักรไทยไม่รับว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจในการตีความ
แล้ว
รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่ว
คราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ไม่ต้องถอนทหารหรือตำรวจตระเวนชายแดนออกจากแผ่นดินไทย
และขอให้เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย
ทั้งนี้ได้ปรากฏเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนแล้วว่าตั้งแต่มีการก่อตั้งศาล
ยุติธรรมระหว่างประเทศมามีประเทศคู่พิพาทให้ศาลออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว
17 คดีแต่ ศาลรับให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 10 คดี
ผลปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีประเทศใดปฏิบัติตามเลยแม้แต่ประเทศเดียว
ซึ่งรวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
ดังนั้นคำสั่งดังกล่าวไม่มีสภาพบังคับแต่ประการใด
และหากรัฐบาลไทยยินยอมปฏิบัติถอนทหารออกจากพื้นที่จะถือเป็นประเทศแรกในโลก
ที่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวทั้งๆที่มีชุมชุนกัมพูชารุกรานเข้ามา
อาศัยอยู่บนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย
ประการที่สาม
ให้รัฐบาลไทยเร่งฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศ
ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน
เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีประเทศใดเข้ามาใช้อำนาจในการละเมิดอธิปไตยของ
ชาติ
ประการที่สี่ อาศัยกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 2
วรรค 7 และ
ให้รัฐบาลไทยยืนยันว่าสมาชิกสหประชาชาติไม่มีอำนาจในการแทรกแซงในเรื่องภาย
ในอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย และให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันตามข้อ 2
(ก) และ 2(ง)
แห่งกฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่ารัฐสมาชิกอาเซียนจะ
ต้องปฏิบัติตามหลักการในการเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค
บูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
ประการที่ห้า รัฐบาลราชอาณาจักรไทยจะต้องไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก
ประการที่หก
ให้รัฐบาลไทยหยุดการใช้นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท
ที่รับจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศมาโฆษณาชวนเชื่อในสื่อของรัฐฝ่ายเดียว
เพียงเพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับการยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชา
เพราะนักวิชาการเหล่านี้มีจุดยืนอยู่ข้างฝ่ายกัมพูชา
และควรเปิดพื้นที่สื่อให้กว้างขวางเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากผู้ที่
ต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติและไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลด้วย
ประการที่เจ็ด ให้ช่วยเหลือ นายวีระ
สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์
ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทยแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กลับใส่ร้ายว่าถูกจับในแผ่นดินกัมพูชา โดยเร่งรัดดำเนินการให้ทั้ง 2
คนถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็วที่สุด
ดังนั้นหากรัฐบาลเมื่อทราบทางเลือกแล้วยังไม่ปฏิบัติตาม
อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับความพ่ายแพ้อย่างอยุติธรรม
ในเวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ย่อมถือว่ารัฐบาลมีเจตนาขายชาติขายแผ่นดิน
จึงต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบด้วยหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียอธิปไตยและ
บูรณภาพแห่งดินแดนครั้งนี้
และหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในครั้งนี้จะถือว่าเป็นครั้งแรกใน
ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนในรัชกาลปัจจุบันเพราะ
การสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ของนักการเมืองทุกฝ่าย
ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง และ
ผู้นำกองทัพที่ไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญอย่างที่
ไม่เคยปรากฏมาก่อน
และจะต้องร่วมกันรับผิดชอบในความอัปยศทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงมีมติให้ตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปยื่นข้อเรียกร้อง ดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 ในเวลา 10.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล
ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2556
ณ บ้านพระอาทิตย์
ที่มาของภาพประกอบหน้าแรก: http://www.flickr.com/photos/11401580@N03/2798884839/ (CC)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น