นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ร่วมแถลงข่าวชี้แจง ภายหลังที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)
เห็นชอบตั้งคณะทำงานดำเนินการศึกษาวิธีการออกเสียงประชามติและประชาเสวนา
ทั้งในข้อกฎหมายและทางปฏิบัติ
เพื่อให้สรุปวิธีการที่เหมาะสมพร้อมทั้งจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอ
ครม.พิจารณาต่อไป
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว
ว่าสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา
ครม.มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาหาวิธีการ
ที่จะเกิดกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด
รวมไปถึงศึกษาตัวบทกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งวันนี้
ผมพร้อมนายวราเทพ และนายจารุพงศ์ ได้มีการศึกษาเรื่องดังกล่าวแล้ว
พร้อมยอมรับฟังความคิดเห็นจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรคร่วมรัฐบาล
รวมไปถึงประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ซึ่งเรื่องดังกล่าว ครม.มีความเห็นว่าสมควรที่จะให้มีการทำประชามติ
มท.คาดใช้3สัปดาห์
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว
ว่าคาดว่าคณะทำงานที่ ครม.อนุมัติ ใช้เวลาทำงานประมาณ 2-3 สัปดาห์ ทั้งนี้
กระทรวงมหาดไทยจะรับผิดชอบในเรื่องของการจัดทำประชาเสวนา
ในกฎหมายประกอบการทำประชาพิจารณ์ มาตรา 10 ว่า
เมื่อมีการประกาศให้มีการออกเสียงแล้ว
ให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องทำประชามติต้องดำเนินการให้ข้อมูล
เกี่ยวกับเรื่องที่จะจัดทำประชามติแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงให้รับทราบอย่าง
เพียงพอ ในหัวข้อ รายละเอียดระบุว่า
1.จะต้องมีชื่อเรื่องที่จะทำประชามติและเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจัดให้มีการทำประชามติ
2.สาระสำคัญของกิจการในเรื่องที่จะต้องทำประชามติ
3.ขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินการเรื่องที่จะต้องทำประชามติ
4.ประมาณการค่าใช้จ่ายและที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้
5.ประโยชน์
ได้เสียที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ท้องถิ่น หรือประชาชน
รวมทั้งมาตรการในการป้องกันแก้ไขและเยียวยาความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่
อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ พร้อมสรุปเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียด้วย
ทางกระทรวง
มหาดไทยจะมีหน้าที่ทำความเข้าใจกับประชาชน จริงๆ ถ้าดูตัวเลข 26 ล้านเสียง
ทั่วๆ ไปทุกๆ ครั้งก็เกิน 50 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว
ฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก
กฤษฎีกายึดเสียงเกินกึ่งผู้มาใช้สิทธิ
นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
กล่าวว่าทางประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ชี้แจงในที่ประชุม ครม.ว่า
การทำประชามติมีกฎหมายรองรับอยู่แล้วคือ รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 165 (1)
และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2552 ดังนั้น
หากจะมีการจัดทำประชามติ ไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมาย หรือแก้รัฐธรรมนูญ
ส่วน
ที่จะมีคำถามต่อไปว่า
การดำเนินการตามกฎหมายที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงต่อ ครม.นั้น
ผลของการลงประชามติจะอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งทางกฤษฎีกาได้ยืนยันว่า
เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญการออกเสียงประชามติมาตรา 9 จะต้องมี 2 ขั้นตอน
คือ 1.ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ 2.จะ
ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มาใช้สิทธิ สรุปง่ายๆ
คือจำนวนผู้มีสิทธิ 46 ล้านเสียง จะต้องมีผู้มาใช้สิทธิไม่ต่ำกว่า 23
ล้านเสียง
และเสียงที่จะได้รับความเห็นชอบผ่านประชามติต้องมากกว่าครึ่งหนึ่ง ของ 23
ล้านเสียง
ตั้ง 4 รมต.-เลขาฯกฤษฎีกา คณะทำงาน
เมื่อ
ครม.ได้พิจารณาในประเด็นของการศึกษาทั้งข้อกฎหมาย และแนวทางความคิดเห็น
วันนี้ ครม.ได้มีมติ คือ 1.รับทราบ
ผลการศึกษาความคืบหน้าตามที่กระทรวงยุติธรรมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รายงาน
2.รับทราบขั้นตอนการออกเสียงประชามติว่าเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
ประชามติตามที่เลขากฤษฎีกาชี้แจง 3.เนื่องจาก
ครม.เห็นว่าการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้มีความซับซ้อน
และเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ครม.ได้ดำริในเรื่องนี้ว่า
ได้มีการจัดเตรียมการทำประชาเสวนาไว้แล้ว
จึงเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งคณะ ประกอบด้วยผม พล.ต.อ.
ประชา พรหมนอก นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
เป็นคณะทำงานดำเนินการศึกษาวิธีการออกเสียงประชามติและประชาเสวนา
ว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งในข้อกฎหมายและวิธีการปฏิบัติ
เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว ให้สรุปวิธีการที่เหมาะสม
พร้อมจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอ ครม.ได้พิจารณาต่อไป
ทั้ง
นี้ คณะทำงานได้ชี้แจงเรื่องนี้ให้ประชาชนรับทราบด้วย
หลังจากนั้นขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ ต้องมีการนำไปประกาศลงราชกิจจานุเบกษา
แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทางรัฐสภา รัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า ถ้า
ครม.จะมีมติในเรื่องของการออกเสียงประชามติ
อาจไปปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ครม.จึงมีความเห็นว่า
เรื่อง
นี้ควรจะไปปรึกษาประธานทั้งสองต่อไป หลังจากที่ได้ความเห็นชอบ
ถามว่าทำไมจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก เรื่องนี้
ครม.เห็นว่ามีความสลับซับซ้อนในเรื่องของการดำเนินการ
วันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้เสนอตามที่ ครม.มอบหมาย
และไปดำเนินการในเรื่องของการจัดทำรายละเอียด
เนื่องจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 2552 ที่บอกว่า การจะออกประกาศใดๆ
หน่วยงาน ของรัฐเจ้าของเรื่อง จะต้องจัดทำรายละเอียดให้ชัดเจน
และกฎหมายกำหนดตามมาตรา 5 ว่า การประกาศให้มีการออกเสียงในราชกิจจานุเบกษา
จะต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดเรื่องในการจัดทำประชามติ
จะต้องมีข้อความที่ชัดเจน
เพียงพอที่จะให้ผู้มีสิทธิออกเสียงได้ลงความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่อง
ที่จะทำประชามติ
นอก
จากนี้ คณะทำงานที่
ครม.อนุมัติยังต้องศึกษาในรายละเอียดของการทำประชามติตามขั้นตอนกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม สำหรับหัวข้อของการทำประชามตินั้น
ต้องรอให้มีการประชุมกันก่อน แล้วจะมีการแถลงความคืบหน้าเป็นระยะๆ
และคาดว่าจะมีการประชุมครั้งแรกภายในสัปดาห์นี้
ผู้สื่อข่าวถามว่าคณะทำงานจะใช้เวลาในการทำงานกี่วัน : ครม.ไม่
ได้กำหนด แต่เรื่องนี้เป็นความสนใจของประชาชน และจะต้องใช้เวลาอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ไม่สามารถระบุได้ว่าต้องเป็นกี่วัน อย่างไรก็ตาม
จะมีการพิจารณาโดยเร็ว
ส่วน
กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี
ที่เห็นต่างออกไปว่ารัฐบาลไม่ควรเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น
เรื่องดังกล่าวจะต้องหารือกับหลายฝ่าย ทั้งภายในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คิดว่าสิทธิหรือความเห็นที่แตกต่างคณะทำงานก็จะนำไปพิจารณา ทั้งนี้
คงจะมีการร่วมหารือกับ ร.ต.อ.เฉลิมด้วย
Source - เว็บไซต์มติชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น