ที่มา Thai E-News
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. วรพล พรหมิกบุตร
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การ
เผยแพร่ละครโทรทัศน์เรื่อง “เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์”
ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 (บีอีซี)
และการสั่งงดการเผยแพร่อย่างเฉียบพลันในช่วงท้ายของละครโทรทัศน์ชุดดังกล่าว
เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม-สื่อสารมวลชน-วัฒนธรรม-และการเมืองที่สาธารณชนจำ
เป็นต้องทำความเข้าใจ เพราะความไม่เข้าใจเรื่องนี้จะกลายเป็น “เหยื่อ”
ของผู้ใช้ข่าวสารข้อมูลเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจทางการ
เมืองอย่างผิดทำนองคลองธรรมของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งในการเมืองไทย
ละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าวเป็นชุดของข่าวสารข้อมูลที่เป็นนิยาย (เรื่องแต่ง) ซึ่งเล่าเรื่องการต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมืองระดับชาติหรือระดับรัฐบาลผู้บริหารประเทศ
การต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมืองในละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าวถูกกำหนด
โดยผู้เขียนบทละครให้ผู้ชมรายการโทรทัศน์
(ในโลกทางสังคมที่เป็นจริงนอกจอโทรทัศน์) รับรู้และตีความได้เหมือน ๆ
กันว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มคนและภูติผีปีศาจที่เป็นคนดี (ฝ่ายธรรมะ)
ปะทะกับกลุ่มคนและภูตผีปีศาจที่เป็นคนเลว (ฝ่ายอธรรม)
และในการต่อสู้ดังกล่าวนั้นผู้เขียนบทละครได้สร้างเรื่องให้มีประเด็นการ
ต่อสู้กันอีกอย่างน้อย 2 ประเด็น คือ หนึ่ง
การต่อสู้กันระหว่างนักการเมืองคอรัปชั่น (คนโกงชาติ)
กับคนที่ต้องการปราบคอรัปชั่น และ สอง
การต่อสู้กันระหว่างกลุ่มที่เชิดชูความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ปะทะกับกลุ่มที่ไม่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ดังนั้นนิยายที่แต่งขึ้นเรื่องนี้จึงนำเอาประเด็นอุดมการทางการเมืองเรื่อง
การต่อต้านคอรัปชั่นและอุดมการทางวัฒนธรรมเรื่องความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
มาใช้ประโยชน์ในชุดข่าวสารข้อมูลของผู้แต่งละครเหนือเมฆ
ทั้งหมดที่ผู้เขียนกล่าวถึงนี้เป็นเรื่องแต่งในละครโทรทัศน์
ในโลกทาง
สังคมที่เป็นเรื่องจริงของไทยในปัจจุบันมีชีวิตจริงของคน กลุ่มคน
และองค์กรที่ต่อสู้และขัดแย้งกันทางการเมืองอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายปี
และมีการแบ่งฝ่ายเป็นคู่ขัดแย้งกันจริง เช่น ความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปะทะกับคณะรัฐประหาร คปค./คมช.
ซึ่งกล่าวหาว่า รัฐบาลของพ.ต.ท. ทักษิณโกงชาติ
ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ปะทะกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีสมัคร
สุนทรเวชและต่อเนื่องปะทะกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์
และกล่าวหารัฐบาล 2 ชุดดังกล่าวว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของพ.ต.ท. ทักษิณ
ชินวัตร
รวมทั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมทางสื่อสารมวลชนว่าเป็นรัฐบาลที่มีพวกล้มเจ้า
เข้าร่วมบริหารประเทศ
ความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทย
ที่นำไปสู่การใช้อำนาจของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทยและ
ทำลายสิทธิทางการเมืองของแกนนำบริหารพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นจำนวนถึง 111
คน เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2550
ความขัดแย้งต่อเนื่องระหว่างพรรคพลังประชาชนกับกลุ่มคนและองค์กรที่ใช้
อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการสั่งยุบพรรคพลังประชาชนในต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551
ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มบุคคลภายใต้การนำของพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธ์
(เสธ. อ้าย)
ที่กล่าวหารัฐบาลพรรคเพื่อไทยด้วยประเด็นทางสื่อมวลชนว่าโกงชาติและล้มเจ้า
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2555
ที่ผ่านมาแต่ล้มเหลวในการเคลื่อนไหวมวลชนตั้งแต่วันแรกที่นัดชุมนุมใหญ่และ
ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น
ความขัดแย้งที่เป็นเรื่องจริงเหล่านี้เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่ฝ่าย
หนึ่งนำประเด็นอุดมการต้านคอรัปชั่นกับอุดมการรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
มาใช้เป็นเครื่องมือข่าวสารกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งอย่างย้ำคิดย้ำทำต่อเนื่อง
ตลอดมา
ทั้งหมดที่ผู้เขียนกล่าวนี้เป็นเรื่องจริงที่ประชาชนรับรู้ในชีวิตจริงทาง
สังคม-วัฒนธรรม-และการเมืองของประชาชนในประเทศตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
พล็อต
เรื่องหรือเค้าโครงเรื่องรวมทั้งรายละเอียดสำคัญของเรื่องเล่าที่เป็นเพียง
นิยายในละครโทรทัศน์ “เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์”
ถูกจงใจให้เลียนแบบเรื่องราวในโลกทางการเมืองที่เป็นจริงของไทยในห้วงเวลา
ที่ยังเป็นปัจจุบัน
แต่เนื้อหาในละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าวมีการบิดเบือนความจริงหรือมีการ
เขียนเรื่องในบทละครที่พิสูจน์ได้ (แม้จะยากพอสมควร)
ว่าเป็นการเขียนบทละครที่บิดเบือนความจริง
ละคร
เหนือเมฆเป็น “ละครซ้อนความจริง”
ที่ถ้าหากปล่อยให้มีการเผยแพร่ออกอากาศจนจบครบทุกตอนตามปกติจะไม่มีผลสั่น
สะเทือนทางการเมืองมากไปกว่าข่าวสารโฆษณาชวนเชื่ออีกชุดหนึ่งซึ่งมีกลุ่ม
บุคคลและองค์กรจำนวนหนึ่งตามที่ระบุตัวอย่างข้างต้นได้พยายามใช้เป็นเครื่อง
มือทำร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาแล้วหลายครั้ง
การสั่งให้งดออกอากาศละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าวรวม 2-3
ตอนสุดท้ายคือกลไกจุดระเบิดให้ละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าวมีผลสั่นสะเทือน
ทางการเมือง เท่าที่ปรากฏให้เห็นได้ในปัจจุบัน
และเป็นที่ชัดเจนว่าผลสั่นสะเทือนทางการเมืองดังกล่าวคือผลในทางการกล่าวหา
ว่าร้ายและใส่ความพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรว่าเป็นฝ่ายอธรรมถ้าเปรียบเทียบกับบทละครที่เป็นนิยายอีกเรื่อง
หนึ่งของสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 (บีอีซี)
ผู้เขียนขอย้ำว่าหากไม่มีคำสั่งงดออกอากาศละครโทรทัศน์ 2-3
ตอนสุดท้ายเกิดขึ้น (นั่นคิอ
หากตัดปัจจัยเงื่อนไขนี้ออกไปจากชีวิตจริงของผู้ชมละครโทรทัศน์เรื่องเหนือ
เมฆ 2)
ผลสัมฤทธิ์ที่จะไม่เกิดขึ้นได้อย่างรุนแรงเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้คือ
ประชาชนทั้งผู้ที่เคยชมและผู้ที่ไม่เคยติดตามชมละครโทรทัศน์เรื่องดังกล่าว
จะไม่ย้อนกลับมาคิดตริตรองประเด็นข้อกล่าวหาเดิมที่ใส่ร้ายกันซ้ำซากว่า
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรเป็นคนโกงและรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรผู้อยู่แดนไกล
อย่างกว้างขวางทั่วประเทศอีกครั้งเช่นที่เกิดขึ้นหลังการสั่งงดออกอากาศละคร
เรื่องดังกล่าว 3 ตอนสุดท้าย
การ
กระตุ้นให้ประชาชนคิดซ้ำซากเพื่อเชื่อมโยงประเด็นในละครเข้ากับเรื่องราวนอก
บทละครโดยพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนคิดอย่างเป็นปฏิปักษ์กับกับพ.ต.ท. ทักษิณ
ชินวัตรและรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
คือจุดมุ่งหมายและผลสัมฤทธิ์ของการสั่งงดออกอากาศละครโทรทัศน์ “เหนือเมฆ 2”
จำนวน 2-3 ตอนสุดท้าย
ผู้เขียนมั่นใจว่าผู้บริหารผังรายการของสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3
มีประสบการณ์ยาวนานและมีความรู้ความเข้าใจเพียงพอที่จะคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
ว่าการสั่งงดออกอากาศละครโทรทัศน์ของตนในลักษณะพิเศษเฉียบพลันเช่นที่ได้ลง
มือกระทำไปนั้นไม่ใช่เรื่องปกติของการทำงานในระบบสื่อสารมวลชน
และไม่ใช่เรื่องปกติที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 “ทำอยู่ทุกวัน”
ตามที่ผู้บริหารระดับสูงของสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวแถลงด้วยความพยายามที่จะ
ให้ประชาชนเชื่อเช่นนั้น
การแถลง
ของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวว่าตนเองเป็นผู้สั่งงดออกอากาศละคร
โทรทัศน์เรื่องดังกล่าวต่างหากที่เป็นเรื่องของคน “เหนือเมฆ” ในชีวิตจริง
ด้วยเหตุผลดังนี้ ประการแรกสุด
พลังของมวลชนจำนวนนับสิบล้านคนทั่วประเทศที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณผู้ถูกละคร
เหนือเมฆทำร้ายกลับมีความคิดในทางชื่นชมสนับสนุนและไว้วางใจสถานีโทรทัศน์
ช่อง 3 ทั้ง ๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรถูกทำร้ายในโลกนอจอโทรทัศน์อีกครั้งจากการกระทำของผู้ร่วมกันเผยแพร่
ละครโทรทัศน์เรื่อง “เหนือเมฆ” ประการที่สอง
รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ยังไม่สามารถรอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อทางการเมือง
เพราะสังคมยังคงคลางแคลงใจว่าเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจอยู่เบื้องหลังการสั่งงด
ออกอากาศละครดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ผู้บริหารช่อง 3
แถลงแล้วว่าผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3
เป็นผู้สั่งงดออกอากาศละครโทรทัศน์เรื่องนี้ด้วยตนเอง
ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามในชีวิตจริงทางการเมืองก็พร้อม
จะแถลงย้ำความคลางแคลงใจเช่นนั้นให้ปรากฏในระบบสื่อสารมวลชนต่อเนื่องไป
ประการที่สาม บาดแผลจากการทำร้ายพ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร
บาดแผลจากการทำร้ายพรรคไทยรักไทย บาดแผลจากการทำร้ายพรรคพลังประชาชน
บาดแผลจากการทำร้ายนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ยังคงถูกค้ำยันให้เป็นบาดแผลต่อไปในระบบความคิดทางการเมืองของสังคมไทย
โดยประชาชนจะยังคงถูกวางเงื่อนไขโน้มน้าวความคิดให้เชื่อเรื่องการโกงและ
การล้มเจ้าตามที่ฝ่ายผู้กล่าวหาได้ใส่ความไว้ก่อนหน้านั้นอย่างต่อเนื่องและ
การค้ำยันนั้นจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปได้ ทั้ง ๆ
ที่บาดแผลเหล่านั้นเกิดจากการใส่ความปั้นข่าวสารที่เป็นเท็จโจมตีใส่ร้ายผู้
ถูกกล่าวหาเกือบทั้งสิ้น
ประเด็น
ข้อสังเกตและการวิเคราะห์หลายประการที่ผู้เขียนเสนอไว้ในที่นี้ควรถูกตรวจ
สอบค้นหาความจริงรวมทั้งการพิสูจน์ความจริง (ซึ่งทำได้แม้จะยาก) เช่น
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมในชีวิตจริง คณะรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 (รวมทั้งคณะทำงานชุด คตส.
และคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้น)
เป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรมในชีวิตจริง
ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์และผู้ร่วมดำเนินการเผยแพร่และสั่งงดการออกอากาศ
ละครเหนือเมฆเป็นผู้เหนือเมฆในชีวิตจริงหรือเป็นเพียงผู้เขลาเบาปัญญาไม่
ทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดผลร้ายต่อรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพี่ชาย
เป็นต้น
ประเด็นเหล่านี้สังคมไทยควรร่วมกันพิจารณาเพื่อปกป้องสาธารณชนผู้รับข่าว
สารทุก ๆ
ฝ่ายที่ขัดแย้งกันและเพื่อนำไปสู่การให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกใส่ความทางการ
เมืองอย่างไม่เป็นธรรมตลอดหลายปีที่ผ่านมา
วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น