แถลงการณ์สวนโมกข์ ๕๐ ปี


บทสวด ปฏิจจสมุปบาท MP3 24 จบ ฟังยาวได้เลย 2 ชั่วโมง 49 นาที



พุทธวจนคืออะไร

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

สุรพศ ทวีศักดิ์: พุทธศาสนาปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่พุทธะสอน

ที่มา ประชาไท



เดวิด อาร์.ลอย ศาสตราจารย์ทางจริยศาสตร์ ศาสนาและสังคมมหาวิทยาลัยเซเวียร์ และเป็นอาจารย์เซ็นในสายโกอุน ยามาดา เขียนไว้ในหนังสือ “เงิน กามารมณ์ สงคราม และกรรม บันทึกเพื่อการปฏิวัติแนวพุทธ” (พรรณงาม เง่าธรรมสาร แปล) หน้า 112 ว่า
 
บางครั้งข้าพเจ้าสงสัยว่าพระองค์จะทรงคิดอย่างไรเกี่ยวกับพุทธ ศาสนาในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนพุทธศาสนา เราอาจพูดได้แม้กระทั่งว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นชาวพุทธ ในทำนองเดียวกับที่พระเยซูไม่เคยเป็นชาวคริสต์ พระศากยมุนีทรงสอน “ธรรม” พุทธศาสนาไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นสิ่งที่ทรงเริ่มต้น พุทธศาสนาตามที่เรารู้จักเป็นสิ่งที่พระธรรมและคณะสงฆ์พัฒนาขึ้นในช่วงหลาย ศตวรรษ ในดินแดนและวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย พระองค์จะทรงพอใจกับสิ่งที่เป็นผลจากความพยายามของพระองค์หรือไม่?
 
สมมติเราตั้งคำถามว่า “พุทธะจะพอใจกับพุทธศาสนามรดกสมบูรณาญาสิทธิรายชย์แบบไทยหรือไม่?” จะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องตอบคำถามว่า “เรายอมรับหรือไม่ว่าพุทธศาสนาแบบไทยที่ว่านี้แตกต่างจากพุทธแบบดั้งเดิม อย่างสิ้นเชิง”
 
ในแง่ “สังฆะ” ซึ่งเป็นชุมชนที่พุทธะก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สะดวกแก่การเรียนรู้ และพัฒนาชีวิตเพื่ออิสรภาพตามหลักไตรสิกขานั้น แต่สังฆะปัจจุบันเป็นระบบที่ซับซ้อนเพราะถูกทำให้ผูกโยงกับปมเงื่อนของยศ ศักดิ์ อำนาจ และผลประโยชน์ ชุมชนแห่งสังฆะจึงไม่ได้สร้างวิถีชีวิตเรียบง่าย และวัฒนธรรมการเรียนรู้เพื่ออิสรภาพตามหลักไตรสิกขาอย่างพุทธกาล ทว่าถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์อุดมการณ์รัฐแบบเก่า คือ “อุดมการณ์ราชาชาตินิยมศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งมีลักษณะเป็น “ศาสนาทางโลก” หรือ secular religion ที่เน้นการบูชาความศักดิ์สิทธิ์ของตัวบุคคลเหนือระบบอันส่งผลให้รัฐไทยเป็น “รัฐกึ่งศาสนา” ในความหมายว่า “กึ่งข้างบน” คือ secular religion ที่ครอบ “กึ่งข้างล่าง” ซึ่งเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลไม่มีอำนาจในการทำให้กึ่งข้างบนอยู่ภายใต้หลักการประชาธิปไตยได้ เลย เช่น จะแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้ แตะรัฐธรรมนูญหมวดสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ เป็นต้น
 
ยิ่งกว่านั้น อุดมการณ์ราชาชาตินิยมศักดิ์สิทธิ์ยังถูกใช้เป็นฐานอ้างอิงในการทำรัฐประหาร และการปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยตลอดมา
 
ในแง่หลักคำสอนของพุทธศาสนาที่แต่เดิมเป็น “ธรรมะธรรมดา” อันเป็นคำอธิบายความจริงเรียบง่าย ตรงไปตรงมาตามกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยความทุกข์และความดับทุกข์อย่างมีเหตุมีผล นั้น ก็ถูกตีความให้กลายเป็น “ธรรมะศักดิ์สิทธิ์” ที่มีความหมายซับซ้อน เหนือเหตุผล ธรรมะอันเป็นหลักคิดและวิถีชีวิตเพื่อการเป็นคนธรรมดาไม่เบ่งอัตตาตัวตน กลับกลายเป็นเครื่องมือเชิดชูความวิเศษของอัตตาตัวตน หรือของ “ตัวบุคคล” จนกลายเป็น “พระผู้มีญาณวิเศษ” เหนือการตรวจสอบด้วยวินัยสงฆ์ หรือเป็นเครื่องมือยกย่อง “ความศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นปกครอง” ให้อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ
 
ฉะนั้น ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สนับสนุนลัทธิบูชาตัวบุคคลเหนือหลักการ และระบบสังฆะที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนอุดมการณ์ราชาชาตินิยมศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ใช่ธรรมะตามที่พุทธะสอนแน่ๆ และไม่ใช่สังฆะที่พุทธะประสงค์จะก่อตั้งขึ้นมาแน่ๆ นี่คือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้
 
แต่พูดแบบนี้แล้วบรรดาผู้ที่มักมองอย่าง “เหมารวม” และชอบ “แขวนป้าย” อาจจะบอกว่าผมกำลังชวนให้กลับไปมีวิถีชีวิตแบบพุทธดั้งเดิมอย่างสมัยโบราณ อย่างนั้นหรือ? หรือผมเป็นพวก Fund amentalists’ ที่เชื่อว่ามีคำสอนที่ถูกต้องตายตัวในพระไตรปิฎก ไม่ยอมรับการตีความพุทธศาสนาอย่างสัมพันธ์กับบริบทสังคม และวัฒนธรรม เช่นนั้นหรือ?
 
คำตอบคือ ผมไม่คิดว่าคนที่ตั้งคำถามกับพุทธศาสนาในปัจจุบันอย่างวิพากษ์ และมองย้อนไปหาหลักธรรมที่พุทธะสอนในยุคแรกเริ่มอย่างวิพากษ์จะถูก “เหมารวม” ว่าเป็นพวก Fundamentalists อย่างง่ายๆ ท่านพุทธทาสเองก็อ้างพระไตรปิฎกเสมอๆ ในการอธิบายแทบทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็บอกให้ฉีกพระไตรปิฎกทิ้งสัก 70 เปอร์เซ็นต์ก็ยังได้ เช่นเดียวกันคำพูดของเดวิด ลอย ข้างต้นก็ไม่ใช่จะถูก “แขวนป้าย” ได้ง่ายๆ ว่าเป็นคำพูดแบบ Fundamentalism       
 
บังเอิญผมเพิ่งอ่าน  ‘The Power of Simplicity’ ในวารสารปัญญาเวอร์ชันภาษาอังกฤษของอาจารย์สมภาร พรมทา ตอนหนึ่งอาจารย์สมภารยกนิทานเซ็นมาว่า วันหนึ่งอาจารย์เซ็นกับบรรดาลูกศิษย์กำลังทำงานอยู่ในไร่ อาจารย์หยิบผลแคร็อทขึ้นมาแล้วถามว่า “วิธีที่ที่ดีที่สุดที่เราควรจะทำกับผลแคร็อทในมือนี้คืออะไร?”
 
ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ยอมรับกันว่าฉลาดที่สุดตอบไปทันทีว่า “เราควรจะมองผลแคร็อทนั้นว่าเป็นเพียงความว่างเปล่า” อาจารย์นิ่งเงียบ
 
แล้วลูกศิษย์อีกคนก็ตอบว่า “เราควรบริจาคผลแคร็อทนี้ให้คนจน เพื่อเป็นการสั่งสมบุญกุศลของเราเอง” อาจารย์ก็นิ่งเงียบอีก เมื่อคำตอบอื่นๆ ของลูกศิษย์อีกหลายคนยังไม่เป็นที่พอใจ อาจารย์จึงหันไปทางลูกศิษย์คนหนึ่งที่ถูกมองจากเพื่อนๆ ว่าโง่ที่สุด พร้อมกับถามว่า “แล้วเจ้าล่ะคิดยังไง?”
 
ศิษย์โง่คนนั้นไม่ได้พูดอะไร แต่เขาเดินไปคว้าผลแคร็อทจากมืออาจารย์มาเคี้ยวกินหน้าตาเฉย อาจารย์ปรบมือหัวเราะเสียงดัง “โอ ใช่! โอ ใช่!”
 
นิทานจบแค่นี้ อาจารย์สมภารตีความ (โดยผมสรุปอีกที) ว่า คำตอบของศิษย์คนแรกนั้นเป็นการทำให้ของง่ายๆ กลายเป็นของที่มีความหมายซับซ้อนเชิงอภิปรัชญาขึ้นมาโดยไม่จำเป็น ขณะที่ศิษย์คนที่สองทำให้เกิดความซับซ้อนด้วยการสร้างความคิดเรื่องการ สั่งสมบุญกุศลขึ้นมา ส่วนศิษย์คนที่โง่ที่สุดคือคนที่บอกวิธีปฏิบัติต่อผลแคร็อทอย่างเป็น ธรรมชาติ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ปรุงแต่ง แล้วอาจารย์สมภารก็อธิบายว่าคำสอนของพุทธะยุคแรกเริ่มนั้น เป็นคำสอนที่อธิบายความจริงในธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมาง่ายๆ ไม่ได้มีความซับซ้อนในเชิงอภิปรัชญา หรือมีความหมายแบบ “ธรรมะศักดิ์สิทธิ์” เช่นที่ผมยกตัวอย่างข้างต้น (อย่างนี้จะแขวนป้ายว่า อ.สมภารเป็น Fundamentalist อีกไหม?)
 
จากตัวอย่างข้างต้น ทำให้เราคิดต่อได้ว่าความทุกข์ในชีวิตปัจเจกและทุกข์ทางสังคมหลายๆ อย่าง มักถูกทำให้ยุ่งยากซับซ้อนเกินจริงขึ้นมาทั้งด้วยวิธีคิดของตัวเราเอง ด้วยการปลูกฝังอบรมทางศาสนา จารีตประเพณี ด้วยระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือระบบโลก จนความซับซ้อนเหล่านั้นมาบดบังไม่ให้เราเห็นความจริงตามที่มันเป็น และสูญเสียการคิดอย่างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา บางครั้งความซับซ้อนที่สร้างขึ้นเหล่านั้นมันก็กลายเป็นโซ่ตรวนพันธนาการไม่ ให้เราพูดความจริง หรือวิพากษ์วิจารณ์ความถูก ผิดตามหลักการได้อย่างซื่อสัตย์ เปิดเผย ตรงไปตรงมาอีกด้วย
 
ผมคิดว่า ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเราเป็นเรื่องที่ถูกทำให้ซับซ้อนจนเกินเหตุ และความซับซ้อนที่ถูกสร้างขึ้นในนาม “ความศักดิ์สิทธิ์” หรือ “เรื่องละเอียดอ่อน” พูดตรงๆ ไม่ได้อะไรต่างๆ นั้นก็กลายเป็นปมเงื่อนของความขัดแย้ง และความรุนแรงจนแก้ไม่ตก
 
ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าคิดอย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา หรือคิดอย่าง “สมเหตุสมผล” ก็จะทำให้เรามองเห็นปัญหาที่ “สาเหตุหลัก” อย่างตรงไปตรงมา เข่นวิธีคิดแบบอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คือ ต้องสร้าง “กติกา” หรือระบบสังคมการเมืองให้สถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้หลักการประชาธิปไตยใน มาตรฐานเดียวกันกับทุกสถาบันในสังคม เพราะการทำให้สถาบันอยู่เหนือการวิจารณ์ตรวจสอบ แต่กลับมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้านดีเพียงด้านเดียวโดยห้ามโต้แย้ง หรือเสนอข้อมูลด้านตรงข้ามมาหักล้างนั้น เป็นเรื่องที่ “ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง” ไม่ว่าจะมองจากหลัก “ความรู้” สมัยใหม่ที่ต้องมี “ความเป็นวิทยาศาสตร์” หรือวัฒนธรรมทางสังคมการเมืองสมัยใหม่ที่ต้องมี “ความเป็นประชาธิปไตย” ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจมีเสรีภาพวิจารณ์ตรวจสอบ และทุกสถาบันต้องดำรง “ความน่าเชื่อถือ” บนพื้นฐานของความโปร่งใสตรวจสอบได้
 
หลายปีมานี้สังคมเราทะเลาะ ขัดแย้ง ทำร้าย เข่นฆ่ากัน และยังไม่รู้ว่าความขัดแย้งที่สืบเนื่องมานี้จะนำไปสู่การเข่นฆ่าอีกหรือไม่ หากคิดอย่างตรงไปตรงมาแล้วเราก็ย่อมเข้าใจได้ว่า ถ้าระบบสังคมการเมืองยังเป็นแบบเก่า แบบที่สถานะ อำนาจ บทบาทของสถาบันกษัตริย์ยังถูกวิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้ และยังสามารถจะถูกอ้างอิงเพื่อทำรัฐประหารได้เสมอ เราก็ย่อมเข้าใจได้ว่าความขัดแย้งและความรุนแรงแบบเก่าๆ ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ
 
หากพุทธะสอนให้เรามองความจริงตามที่มันเป็นอย่างตรงไปตรงมา และมีวิธีคิดที่เรียบง่าย ปราศจากอคติในการทำความเข้าใจความจริงของปัญหา และในการหาวิธีแก้ปัญหาอย่างตรงกับสาเหตุที่แท้จริง พุทธศาสนาในบ้านเราที่ไม่เคยสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการพูดความจริง อย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นพุทธศาสนาที่สร้างมายาคติ “อำนาจศักดิ์สิทธิ์” และ “บุคคลศักดิ์สิทธิ์” ขึ้นมาอยู่เหนือหลักการ ก็ไม่ใช่พุทธศาสนาอย่างที่พุทธะสอน
 
และพุทธศาสนาตามที่เป็นอยู่นี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อการปลด ปล่อยปัจเจกบุคคลและสังคมให้มีอิสรภาพ นอกจากเป็น “ศาสนายากล่อมประสาท” เท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น