เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 ม.ค.
ที่บริเวณหน้าอาคารศาลฎีกา ตรงข้ามสนามหลวง ประชาชนรวมตัวกันประมาณ 15 คน
เพื่อยื่นเอกสารคัดค้านการรื้อทุบอาคารศาลฎีกา โดยมี ว่าที่ร.ต.ถิระ
วิชาญนิธิ นิติกรชำนาญการศาลฎีกา เป็นตัวแทนออกมารับเอกสารดังกล่าว
น.ส.ภาร
ณี สวัสดิรักษ์ ตัวแทนเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม กล่าวว่า
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมให้เหตุผลว่าอาคารศาลฎีกา
มีความเสื่อมโทรมและมีพื้นที่ใช้สอยไม่เพียงพอ
พวกเราในนามเครือข่ายประชาชนและภาคประชาสังคมที่เห็นคุณค่าอาคารประวัติ
ศาสตร์อันเป็นโบราณสถานในพื้นที่มรดกวัฒนธรรมของชาติ
เห็นว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนของสำนักงานควรให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
�ขณะ
นี้กรมศิลปากรได้ทำหนังสือแจ้งให้ทราบแล้วว่าอาคารดังกล่าวเป็นโบราณสถานและ
ขอให้สำนักงานศาลฯ ดำเนินการตามกฎหมาย ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528
เรื่องกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้
หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในท้องที่เขตพระบรมมหาราชวัง
ซึ่งห้ามก่อสร้างอาคารสูงเกิน 16 เมตร
แต่แบบก่อสร้างอาคารหลังใหม่กลับมีความสูง 31.7 เมตร� น.ส.ภารณีกล่าวและว่า
ขอให้สำนักงานศาลฯ ยุติการรื้อทุบกลุ่มอาคารศาลฯ
ทันทีและให้ดำเนินการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนได้ทราบ
ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน
นายชาตรี
ประกิตนนทการ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
กล่าวว่า ขณะนี้มีข้อถกเถียงที่ยังไม่ลงตัวระหว่างสำนักงานศาลฯ
กับกรมศิลปากร ประเด็นมีอยู่ว่าถ้าเป็นองค์กรอื่นๆ
กรมศิลปากรจะไม่มีปัญหาในการประกาศเป็นโบราณสถาน แต่เมื่อเป็นศาลฎีกา
จึงเป็นเรื่องยากลำบาก
�ท่านตีความว่า
กลุ่มอาคารศาลฎีกายังไม่ถูกประกาศลงในพระราชกิจจานุเบกษาให้เป็นโบราณสถาน
สามารถรื้อทุบทำลายได้ แต่ด้วยการขอยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมาย
เรื่องการสร้างอาคารสูงเกินกำหนดในเขตท้องที่พระบรมมหาราชวังเสียเอง
ถามว่าท่านกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่หรือไม่� นายชาตรีกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น