ที่มา
ประชาไท
หลายคนเชื่อหรืออยากฝันว่า สังคมไทยกลับคืนสู่สภาพเดิมหลั
งรัฐประหาร 19กันยา หลังการประท้วงจากสองฝ่าย การเข่นฆ่าประชาชนเสื้
อแดงโดยทหาร และชัยชนะของพรรคเพื่
อไทยในการเลือกตั้งปี 2554 แต่ก็มีคนเสื้อแดงไม่น้อยที่เชื่อว่าประชาชนจำนวนมาก “ตาสว่าง” และสังคมไทยจะกลับสู่สภาพเดิ
มไม่ได้ อย่างไรก็ตามความจริงในรู
ปธรรมมันซับซ้อนกว่านั้น
สำหรับพวกที่เชื่อหรือฝันว่าสั
งคมไทยกำลังกลับคืนสภาพเดิม
แน่นอนมีคนอย่างพวกทหารระดับสูง ที่คิดว่าจะไม่มีการลดอำนาจทหาร
ไม่มีการแก้กฏหมาย 112 ไม่มีการปฏิรูประบบศาล ไม่มีการนำฆาตกรอย่างตั
วเขาเองมาขึ้นศาล ทั้งหมดเพราะมีข้อตกลงกับนั
กการเมืองน้ำเน่าในรั
ฐบาลพรรคเพื่อไทย และอีกกลุ่มหนึ่งที่หวังว่าทุ
กอย่างกำลังกลับสู่สภาพเดิมคื
อทักษิณและนักการเมืองที่เป็
นพรรคพวก และนั้นคื
อความหมายของการปรองดองแย่ๆ ทำพวกนี้ผลักดัน มันปรองดองบนซากศพวีรชน ปรองดองบนความทุกข์ของนั
กโทษการเมือง ปรองดองเพื่อให้ชนชั้
นปกครองไทยที่เคยทะเลาะกัน กลับมาร่วมกินเสพสุขบนพื้
นฐานการกดขี่ขูดรีดประชาชนส่
วนใหญ่
นอกจากฝ่ายชนชั้นสูงแล้ว มันมีปรากฏการณ์ในหมู่นักวิ
ชาการและผู้นำเอ็นจีโอหลายคน ที่เคยโบกมือต้อนรับรัฐประหาร 19 กันยา และชื่นชมในทหารที่เข่นฆ่าเสื้
อแดง พวกนี้ก็หวังว่าสังคมไทยกำลั
งกลับคืนสู่สภาพเดิม และเริ่มออกมา “หน้าด้าน” แสดงความเห็นต่อสังคมเรื่
องประชาธิปไตย โดยอ้างว่าเป็นผู้แทนหรือปากเสี
ยงของ “ภาคประชาชน” พวกนี้ไม่ต่างจากสัตว์เลื้
อยคลานที่ออกมาตอนกลางคืนหลั
งจากที่แสงสว่างหมดไปจากโลก เราก็เลยเห็นคนที่เคยร่
วมทำลายประชาธิปไตย เคยร่วมส่งเสริมเผด็จการ เคยร่วมกันด่
าประชาชนธรรมดาเวลาประชาชนเหล่
านั้นชุมนุมเป็นเสื้อแดง ตอนนี้ออกมาเป็น “ผู้เชี่ยวชาญหรือพี่เลี้ยง” ในเรื่องประชาธิปไตย หรือ “ผู้ส่งเสริมสิทธิผู้บริโภคหรื
อสิทธิชาวบ้าน” แต่มันมีเงื่อนไขคือชาวบ้านเหล่
านั้นต้องยอมรับการนำของเขา และต้องไม่นำตนเอง
ที่น่าสมเพช คือแนวทางในการพัฒนาประชาธิ
ปไตยของพวกนี้มีแต่สูตรเดิมๆ ที่ไม่เคยมีความหมายจริง เพราะไปอาศัยทฤษฏีของฝ่ายชนชั้
นปกครองทั่วโลกมาใช้ ซึ่งเป็นแนวคิดฝ่ายขวาที่เป็นอุ
ปสรรค์ต่อการสร้างประชาธิ
ปไตยและเสรีภาพแท้ บ่อยครั้งมันฟังดูดี แต่มันนามธรรมเหลือเกิน ซึ่งเป็นการสร้างภาพให้ดูดีเพื่
อให้คงไว้สภาพเดิมเท่านั้น
ขอยกตัวอย่าง มีการพูดว่าประชาธิปไตยต้องไม่
ยึดติดกับตัวบุคคลเกินไป เออ...ก็ใช่นะ แต่พวกที่พูดแบบนี้ก็กลับยึดติ
ดกับคนชั้นสูงที่เขาเองรักจนหั
วใจพองโต หรือยึดติดกับผู้ก่อตั้
งศาสนาในยุคโบราณ หรือมองว่าการเปลี่
ยนแปลงในโลกมาจากการกระทำของคนส
ำคัญ “คนดีไม่กี่คน” “คนฉลาดไม่กี่คน” หรือแม้แต่คนชั้นกลางที่เป็
นคนส่วนน้อย แต่พอสะกิดความคิดของเขาด้วยข้
อเสนอว่าคนธรรมดานำตนเองได้ สร้างขบวนการเสื้อแดงได้ หรือกรรมกรโรงงานบริหารการผลิ
ตเองได้โดยไม่ต้องมีนายทุนหรื
อหัวหน้างาน หรือถ้าเราเสนอว่าทุกตำแหน่
งสาธารณะในสังคมควรมาจากการเลื
อกตั้ง เขาจะรีบสวนกลับไปว่าคนชั้นต่
ำทำอะไรเองไม่ได้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่
องการคอร์รับชั่น ซึ่งเป็นปัญหาจริง แต่เป็นปัญหาจากโครงสร้างสั
งคมที่เป็นสังคมชนชั้น เพราะพวกที่คอร์รับชั่นจริงในสั
งคมไทย คือชนชั้นปกครองทั้งชนชั้น ไม่มีดีสักคน เช่นทหารที่เบ่งอำนาจ ใช้งบจากภาษีประชาชนเพื่อสร้
างสถานีโทรทัศน์แล้วตั้งตั
วเองเป็นกรรมการบอร์ดเพื่อกิ
นกำไรเข้ากระเป๋าส่วนตัว เช่นพวกอภิสิทธิ์ชนที่อาศั
ยตำแหน่งเพื่อตั้งเงินเดือนตั
วเองสูงๆ แล้วกดเงินเดือนประชาชนธรรมดา หรือตัวอย่างอื่นๆ ของคนที่ใช้ตำแหน่งเพื่ออ้างสิ
ทธิพิเศษที่จะร่ำรวยมหาศาลโดยที
่ตนเองไม่ทำงานเลย และเรายังไม่ได้พูดถึงนักการเมื
องน้ำเน่าทั้งหลาย แต่พวกที่เคยสนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยาจะพูดถึงคนกลุ่มสุดท้ายนี้
เท่านั้น
พวกที่ล้าหลังที่สุดที่ตอนนี้
คลานออกมาจากใต้ก้อนหินเพื่อสั่
งสอนสังคม เคยเสนอว่าประชาชนไทยไม่ควรมีสิ
ทธิ์เลือกตั้งเต็มที่ เพราะเคยไปเลือกทักษิณ โดยที่พวกนี้พยายามปกปิดความจริ
งว่าประชาชนเลือกทักษิ
ณเพราะชอบนโยบายที่เป็นรู
ปธรรมของพรรคไทยรักไทย นั้นไม่ใช่การยึดติดกับตัวบุ
คคล
ของเสื้อแดง แต่การเสนอว่าในระบบการเมือง หรือในการเลือกตั้ง
ประชาชนไม่ควรยึดติดกับตัวบุคคล มันมีความหมายในอีกแง่
คือมันเป็นวิธีหลีกเลี่ยงประเด็
นชนชั้น
เรื่องการคอร์รัปชั่นก็เป็นเรื่
องชนชั้น และความสามารถในการตรวจสอบการใช้อำนาจ ที่พวกกระแสหลักชอบพูดถึงบ่อยๆ จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าชนชั้
นกรรมาชีพหรือคนทำงานไม่มี
อำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ยิ่งกว่านั้นการตรวจสอบการใช้
อำนาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้ามี
กฏหมายเผด็จการอย่าง 112 ที่ปกป้องทหาร นักการเมือง และอภิสิทธิ์ชน
คนที่ปฏิเสธความสำคัญของชนชั้น และนักวิชาการกับแกนนำเอ็นจี
โอเกือบทุกคนมองโลกแบบนี้ เป็นคนที่ปิดหูปิดตาตัวเอง และพยายามปิดหูปิดตาคนอื่นถึ
งแก่นแท้ของความไม่เท่าเที
ยมทางอำนาจในสังคม ซึ่งนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะถ้าไม่นำเรื่องชนชั้นมาพูด เราจะไม่สามารถมองเห็นการที่
คนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่ง คุมอำนาจทางการเมืองในมือ และใช้อำนาจนั้นในการบังคั
บขโมยทรัพย์สินส่วนเกินจากคนส่
วนใหญ่ที่ทำงาน จนพวกนี้ร่ำรวยมหาศาล นอกจากนี้คนกลุ่มนี้สามารถร่
วมกันใช้ทรัพย์สินส่วนหนึ่ง ผ่านกลไกของรัฐ ในการรักษาความไม่เท่าเที
ยมทางอำนาจต่อไปได้
ถ้าเราปฏิเสธประเด็นชนชั้น เราเหลือแต่คำอธิบายว่าเศรษฐี คนรวยหรือนายทุน รวยเพราะขยันและรู้จักออม หรือเขารวยหรือมีอำนาจทางการเมื
อง เพราะเขาฉลาดหรือมีความสามารถพิ
เศษกว่าเรา
คนที่ปฏิเสธชนชั้นจะมองไม่ออกว่
า “การเมือง” เป็นช่องทางในการแย่งผลประโยชน์
กันระหว่างคนส่วนน้อยที่คุ
มอำนาจและการผลิตมูลค่า กับคนส่วนใหญ่ที่ทำงานผลิตมูลค่
าดังกล่าว เขาจึงมองว่า “การเมือง” เป็นแค่การเล่นเกม ระหว่างทีมต่างๆ ที่มีรสนิยมต่างกัน การมองว่าการเลือกตั้งระหว่
างพรรคเดโมแครด กับพรรคริพับลิแคน ในสหรัฐอเมริกา คือจุดสุดยอดของการพัฒนาประชาธิ
ปไตย เป็นตัวอย่างที่ดีของความคิดปั
ญญาอ่อนแบบนี้ และเวลามีวิกฤตเกิดขึ้น เรามักจะได้ยินพวกนี้พูดว่า “เราควรสามัคคีเพื่อชาติ” หรือ “ไม่ควรนำการเมืองเข้ามาเกี่
ยวข้อง”
แต่ในโลกจริงการเมืองของความขั
ดแย้งทางชนชั้นไม่เคยหายไป เวลาน้ำท่วมหรือพายุเข้ามา คนจนเดือดร้อนมากกว่
าคนรวยหลายร้อยเท่า และคนจนยิ่งเดือดร้อนมากขึ้
นเวลาคนรวยที่มีอำนาจ ไม่ยอมให้รัฐของนายทุน เก็บภาษีจากตัวเขาเพื่อพั
ฒนาสภาพความเป็นอยู่ของคนส่
วนใหญ่
เรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่
องชนชั้นล้วนๆ เพราะในระบบประชาธิปไตยแท้ ที่พวกเราเรียกว่า “สังคมนิยม” คนทำงานธรรมดาจะมี
อำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่
จะควบคุมทุกอย่างในสังคมร่วมกัน แทนที่จะมีนายทุนที่มีอำนาจล้
นฟ้าอย่างทุกวันนี้
ถ้าจะมีประชาธิปไตยแท้ในอนาคต เราต้องมีพรรคการเมืองที่
มาจากคนทำงาน และเสนอนโยบายเพื่อคนทำงาน พรรคนี้จะต้องเสนอสิ่งที่เป็
นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ที่เป็
นคนธรรมดา ซึ่งหมายความว่านโยบายดังกล่
าวจะทำให้เศรษฐีนายทุน และพรรคพวกของเขา รวมถึงนายทหารชั้นสูง เสียผลประโยชน์และในที่สุดเสี
ยอำนาจด้วย ในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่
อมล้ำทางอำนาจและฐานะเศรษฐกิจ การสร้างความเสมอภาคย่อมกระทบกั
บคนส่วนน้อยที่เคยได้ประโยชน์
จากความไม่เสมอภาค มันเข้าใจได้ง่าย
ถ้าวกกลับมาพิจารณาว่าสั
งคมไทยกำลังกลับคืนสู้สภาพเดิ
มหรือไม่ เราต้องตั้งข้อสังเกตหลายประการ เช่นสังคมที่ไหน ไม่ว่าจะไทยหรือที่อื่น ไม่เคยแช่แข็งหยุดนิ่งโดยไม่
เปลี่ยนแปลง แต่นั้นไม่ได้หมายความว่
าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้สังคมดี
ขึ้นโดยอัตโนมัติ มันอาจแย่ลง หรืออาจเปลี่ยนในหลายแง่ แต่ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
ประชาชนไทยจำนวนมากผ่
านประสบการณ์วิกฤตการเมืองหลั
งรัฐประหาร ๅต กันยา ซึ่งทำให้บางคนตาสว่าง บางคนมองโลกในแง่ใหม่ บางคนอยากเปลี่ยนสังคมต่อไป บางคนพร้อมจะขยับตัวออกมาต่อสู้
หรือจัดตั้งเพื่อเปลี่ยนสังคม แต่ในขณะเดียวกันบางคนอาจยิ่
งถอยหลังลงคลอง ดื้อในความล้าหลัง ไม่พร้อมจะให้มีการเปลี่
ยนแปลงอะไรเลย เพราะเกลียดและกลั
วภาพของการเปลี่ยนแปลงที่เคยเห็
นแว๊บๆ ท่ามกลางวิกฤตที่ผ่านมา และอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลื
มคือ คนเปลี่ยนความคิดเสมอ และการเปลี่ยนแปลงทางความคิ
ดอาจไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกั
นเสมอ อาจเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ ตัวอย่างที่ดีคือคนสมัย 14 ตุลา หรือ 6 ตุลา ที่ตื่นตัวทางการเมืองและเริ่
มขยับไปทางซ้ายสังคมนิยม ในภายหลังวกกลับมามีความคิดอนุ
รักษ์นิยมอีก พูดง่ายๆ คนที่ตาสว่างหลัง 19 กันยา จะไม่ตาสว่างตลอดไปถ้าไม่มี
การต่อสู้เพิ่มเติมและการจัดตั้
งทางการเมืองอย่างต่อเนื่
องของฝ่ายสังคมนิยม
ไม่มีหลักประกันว่าตอนนี้สั
งคมไทยจะไม่กลับคืนสู่สภาพเดิมๆ ที่ไร้ความยุติธรรม แต่ก็ไม่มีหลักประกันอีกด้วยว่
าสังคมจะไม่เปลี่ยน ตอนนี้เป็นโอกาสทองที่จะต่
อยอดการเคลื่อนไหวต่อสู้ของเสื้
อแดง เพื่อผลักดันให้เกิดประชาธิ
ปไตยแท้ และเปลี่ยนโครงสร้างสังคมให้เป็
นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ แต่มันขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะร่
วมกันลงมือทำงานเพื่อเป้าหมายนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น