ที่มา
ประชาไท
เปิดบทความวิจัยดีเด่น สาขาวิเทศศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
“ความดราม่าและเร้าอารมณ์ ของการนำเสนอข่าว ไม่ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้
งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้น”สืบเนื่องจากงานประชุมวิ
ชาการระดับนานาชาติ สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่
งยืน ครั้งที่ 1 วันที่ 10-12 มกราคม 2555 จัดโดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต คณะกรรมการได้ทำการคัดเลื
อก
บทความวิจัยดีเด่น หลากหลายสาขา โดยบทความดีเด่นด้านวิเทศศึกษา สังคมศาสตร์
และมนุษย์ศาสตร์ (International Studies, Social Science and
Humanity) ได้แก่บทความ “Peace Journalism: How Thai Journalism applied
it in A case study of violent conflict in Southern border
provinces” นำเสนอ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วลักษณ์กมล จ่างกมล
อาจารย์ประจำ คณะวิทยาการการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี
ผศ.วลักษณ์กมล ได้ทำการศึกษาลักษณะการนำเสนอข่
าวในหนังสือพิมพ์ประเภทต่างๆที่
ตีพิมพ์ข่าวและบทความเกี่ยวกั
บความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวั
ดชายแดนภาคใต้โดยสามารถสรุปลั
กษณะสำคัญของการนำเสนอข่าวเกี่
ยวกับความขัดแย้งในพื้นที่ได้ดั
งนี้
1.หนังสือพิมพ์พยายามนำเสนอเหตุ
การณ์ในลักษณะรายงานข่าวในลั
กษณะปรากฏการณ์
แยกขาดและละเลยบริบทโดยรอบ เช่นการมุ่งประเด็นที่เหตุการณ์
ความรุนแรงเพียงลำพัง มิได้ฉายภาพผลกระทบทางสังคมหรื
อเงื่อนไขสะสมที่ก่อให้เกิ
ดความรุนแรงดังกล่าว ลักษณะการนำเสนอข่าวโดยมากเป็
นการนำเสนอข่าวสารด้านเดียว จากตัวแทนรัฐบาล บุคคลสาธารณะ ทหารระดับสูง หรือ นักการเมืองมากกว่าบุคคลทั่
วไปที่อยู่ในพื้นที่จริง
2.ปัญหาความขัดแย้งภาคใต้ถู
กนำเสนอผ่านประเด็นความรู้สึ
กและการปลุกเร้าอารมณ์ จากการศึกษาพบว่าการปลุกเร้
าอารมณ์ผ่านการลดคุณค่าความเป็
นมนุษย์ และการทำให้เป็นปีศาจร้าย ถูกผลิตซ้ำต่อเนื่
องในการนำเสนอข่าว อันเป็นการสร้างเงื่
อนไขการนำเสนอข่าวในรูปแบบของ “การทำสงคราม” มากกว่าการสร้างสันติ พิจารณาได้จากคำที่ใช้เร้
าอารมณ์ความรู้สึกที่ปรากฏบ่
อยครั้งเช่น กราดยิง ฆ่าโหด สังหารหมู่ ซึ่งเป็นคำที่ทำให้
บรรยากาศความร่วมมือย่ำแย่ลง เช่นเดียวกับภาษาที่มีการสร้
างความเป็นปีศาจร้าย เช่น มุสลิมหัวรุนแรง โจรใต้ ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม ทั้งหมดเป็นไปเพื่อเป้
าหมายในการดึงดูดผู้อ่านผ่
านระบบการสร้างข่าวให้มีสีสัน เร้าอารมณ์ และสร้างความ ‘ดราม่า’ สิ่งเหล่านี้ทำให้ข่าวขายได้แต่
มิทำให้ความขัดแย้งคลี่
คลายลงแต่อย่างใด
3.ข่าวที่มีข้อมูลครบถ้วนและสร้
างความเข้าใจลึกซึ้งไม่เป็นที่
นิยมสำหรับการนำเสนอข่าวในหนั
งสือพิมพ์ส่วนกลาง ข่าวถูกทำให้ง่ายต่อการเข้
าใจของผู้บริโภคที่มีแนวโน้
มจะเชื่อและเลือกข้าง การเขียนข่าวของนักข่
าวในประเทศไทยมักใช้เวลากั
บการบรรยายข้อเท็จจริงมากกว่
าเปิดพื้นที่ให้นักข่าวได้วิ
เคราะห์เชิงเหตุผล รวมถึงการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกกั
บผู้อ่าน
หลังจากเสร็จสิ้นการนำเสนอได้มี
ผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเทคโนโลยี
สารสนเทศ และระบบเครือข่ายสังคมจะเป็
นการกระจายช่องทางการสื่อสารสู่
คนระดับท้องถิ่นเพื่อถ่
ายทอดประเด็นของตนเองสู่ส่
วนกลางได้หรือไม่ ผศ.วลักษณ์กมลให้ความเห็นว่าข้
อเท็จจริงสำคัญคือผู้เข้าถึ
งเทคโนโลยีเหล่านี้
ในประเทศไทยยังมิใช่คนส่วนใหญ่
ของประเทศ และโดยมากเป็นผู้ที่อาศัยอยู่
ในเขตกรุงเทพมหานครและหัวเมื
องใหญ่ซึ่งนับว่าเป็นผู้ที่ไม่
ได้สัมผัสปัญหาความรุนแรงโดยตรง นอกจากนี้ปัญหาสำคัญคือแม้
เทคโนโลยีจะก้าวหน้าแต่หากเนื้
อหาและแนวทางการนำเสนอข่าวไม่
ได้แตกต่างไปจากเดิม ก็จะก่อให้เกิดผลแบบเดียวกัน ดังที่จะเห็นจากการ แชร์รูปเหตุการณ์ความรุ
นแรงในสามจังหวัดชายแดน ด้วยถ้อยคำที่เกินจริง เร้าอารมณ์ความรู้สึก ขาดบทวิเคราะห์ ในด้านนี้เทคโนโลยีจำเป็นต้
องมาคู่กับวุฒิภาวะของผู้
นำเสนอข่าว หรือกระทั่งผู้ใช้เทคโนโลยีต่
างๆ
ในช่วงท้ายได้มีผู้เข้าร่วมรั
บฟังให้ความเห็นว่า แม้ข้อเสนอเรื่
องแนวทางการนำเสนอข่าวเพื่อสร้
างสันติภาพจะมาจากทางตะวันตกอั
นแตกต่างจากลักษณะการเสนอข่
าวของสื่อกระแสหลักของไทย แต่แนวคิดการต่อต้านมุสลิมก็
มาจากโลกตะวันตกหลังเหตุการณ์ 9/11 เช่นกัน หากพิจารณาในแง่มหภาคผลสัมฤทธิ์
ของการเสนอข่าวลักษณะนี้
จะสามารถคาดหวังได้เพียงใด โดย ผศ.วลักษณ์กมล ให้ความเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริ
งที่ปัจจัยภายนอกประเทศมีผลต่
อความเข้าใจต่อชามุสลิม แต่สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือสั
งคมตะวันตกเองก็มีพลวัตภายใน มีทั้ง Peace Journalism และ War Journalism เช่นเดียวกับสังคมไทย ประชาชนสามารถถูกเร้าอารมณ์ได้
ด้วยความเกลียดชังไม่ต่างกัน ในงานวิจัยนี้อาจไม่ได้
ฉายภาพให้เห็นเต้นเหตุในระดั
บมหภาค แต่มุ่งชี้ให้เห็นทางออกในระดั
บจุลภาคว่า เหตุผล ความเคารพในมนุษย์ และการนำเสนอรอบด้าน จะเป็นหนทางสู่การสร้างสันติ
มากกว่า การลดค่าความเป็นมนุษย์ ปลุกเร้าอารมณ์เกลียดชัง และ ‘ความดราม่า’
อนึ่งบทความ “Peace Journalism: How Thai Journalism applied it in a
case study of violent conflict in Southern border provinces”
ได้นำเสนอในงานประชุมวิ
ชาการระดับนานาชาติ สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่
งยืน ครั้งที่ 1 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต และได้รับการคัดเลือกเป็
นบทความวิจัยดีเด่นประเภทบุคคลทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น