ที่มา Thai E-News
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข”
ฉบับวันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2556
ในที่สุด โครงการรถยนต์คันแรกก็สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555
มีผู้มาใช้สิทธิ์ 1.25 ล้านราย
เป็นผลให้กรมสรรพสามิตต้องทะยอยคืนเงินภาษีให้กับผู้ใช้สิทธิ์เป็นจำนวน 9.1
หมื่นล้านบาท
ผู้ที่ใช้สิทธิ์มีสองประเภท
กลุ่มแรกเป็นคนชั้นกลางซึ่งต้องการซื้อรถใหม่อยู่แล้ว
จึงใช้โอกาสนี้ซื้อรถใหม่ในราคาต่ำลง
รวมทั้งซื้อให้ลูกหลานนักศึกษาหรือบัณฑิตจบใหม่
กลุ่มที่สองเป็นคนชั้นกลางระดับล่างไปจนถึงคนมีรายได้น้อย
ซึ่งไม่อยู่ในฐานะที่จะหาเงินมาผ่อนซื้อรถยนต์ในราคาปกติได้
นี่เป็นอีกหนึ่งนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่ถูกด่าทอมากที่สุดไม่น้อยไป
กว่าโครงการรับจำนำข้าวและค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ
และก็เหมือนปฏิกิริยาต่อโครงการเหล่านี้คือ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์มีทั้งอ้างเหตุผลทางวิชาการต่าง ๆ
ไปจนถึงการด่าทอแบบปัญญาอ่อน เช่น
“โครงการรถยนต์คันแรกทำให้จราจรติดขัดมากขึ้น” รับและส่งต่อกันเป็นทอด ๆ
ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ไปจนถึงพวกสื่อมวลชนกระแสหลักที่เลือกข้างเผด็จการ
คนพวกนี้อ้างซ้ำ ๆ กันว่า
จำนวนรถยนต์คันแรกในโครงการสามารถนำมาเรียงต่อกันได้ยาวถึง 4,000 กิโลเมตร
คือยาวมากจากประเทศไทยไปถึงประเทศญี่ปุ่น จินตนาการว่า จำนวนรถอีก 1.25
ล้านคันนี้จะท่วมท้นล้นทะลักถนนในกรุงเทพฯ
จนกลายเป็นภาพหลอนที่สร้างความหวาดกลัวสุดขีดให้กับคนชั้นกลางและคนรวยใน
กรุงเทพฯที่ต้องเผชิญกับปัญหาจราจรติดขัดอย่างสาหัสอยู่แล้วทุกวัน
จากสถิติกรมการขนส่งแสดงว่า ปัจจุบันมียานพาหนะในกรุงเทพฯประมาณ 6.8
ล้านคัน เป็นรถยนต์ประมาณ 4 ล้านคัน ที่เหลือเป็นรถจักรยานยนต์
ยิ่งกว่านั้น ในแต่ละปี จะมีรถยนต์จดทะเบียนใหม่ในกรุงเทพฯประมาณ 4 แสนคัน
หมายความว่า ถึงแม้จะไม่มีโครงการรถยนต์คันแรกของพรรคเพื่อไทยเลย ปี 2556
นี้ก็จะมีรถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้นอยู่แล้วตามปกติประมาณ 4 แสนคัน
ส่วนจำนวนรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรกนั้น
เป็นรถยนต์ที่จดทะเบียนในกรุงเทพฯเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น คือประมาณเกือบ 4
แสนคัน ส่วนอีกร้อยละ 70 เป็นรถยนต์ที่จดทะเบียนในต่างจังหวัด นอกจากนั้น
ในแต่ละปี ก็จะมีรถยนต์เก่าปลดระวางเป็นจำนวนมาก
และเนื่องจากอุปสงค์ต่อรถยนต์ใหม่ได้ถูกดูดซับไปส่วนหนึ่งแล้วจากโครงการรถ
ยนต์คันแรก ผลก็คือ
การเพิ่มขึ้นของรถยนต์ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในโครงการรถยนต์คันแรกในปี 2556
ก็จะไม่สูงมากเท่าปีก่อน ๆ ดังนั้น
จำนวนรถยนต์ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นบนท้องถนนกรุงเทพในปี 2556
หักด้วยรถยนต์ปลดระวางจึงน่าจะสูงกว่ากรณีไม่มีโครงการรถยนต์คันแรกไม่มาก
มายนัก
ภาพรวมในปี 2556 คือ จะมีรถยนต์ใหม่เพิ่มเติมบนถนนกรุงเทพฯ
ทั้งจากโครงการรถยนต์คันแรกและจากรถยนต์ที่ไม่ได้อยู่ในโครงการ
โดยอาจมีจำนวนพอ ๆ กัน คำถามคือ การจราจรที่ติดขัดเพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ
ควรจะโทษส่วนไหน?
โทษคนชั้นกลางล่างและคนจนที่ซื้อรถยนต์คันจิ๋วที่เป็นอีโคคาร์ในโครงการรถ
ยนต์คันแรก
หรือโทษคนชั้นกลางและคนรวยที่มีรถยนต์อยู่แล้วครอบครัวละหลายคันแล้วซื้อยัง
รถยนต์ใหม่เพิ่ม คันใหญ่ในราคาแพงกว่า หรูหรากว่า
สิ้นเปลืองและทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่า?
พวกที่ด่าทอโครงการรถยนต์คันแรกจึงมีสองจำพวกคือ
พวกคนชั้นกลางระดับบนและคนรวยในกรุงเทพฯ กับ “พวกแพ้เลือกตั้ง”
ที่หาเรื่องโค่นล้มรัฐบาลทุกเม็ดทุกประเด็นโดยไม่เลือกหน้า
พวกคนชั้นกลางระดับบนและคนรวยในกรุงเทพฯ
จำนวนมากเป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัวและมีจริตตอแหลที่สุดชนิดหนึ่งในโลก
คนพวกนี้คือต้นเหตุของการจราจรติดขัดและสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายในกรุงเทพฯมา
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ไม่เคยสำนึก ไม่เคยยอมรับ เอาแต่โทษคนอื่น
โทษรัฐบาล โทษนักการเมือง และที่สำคัญคือ
โทษคนจนและคนต่างจังหวัดที่ละทิ้งบ้านเกิด
เข้ามาทำงานรับใช้ให้ความสะดวกสบายกับพวกเขาในกรุงเทพฯนั่นเอง
คนพวกนี้มิใช่หรือที่มีรถยนต์ครอบครัวละหลาย ๆ คัน
ล้วนแล้วแต่หรูหราราคาแพง ขนาดและกำลังเครื่องยนต์ใหญ่โตมโหฬาร?
คนพวกนี้มิใช่หรือที่ไม่ยอมใช้บริการขนส่งมวลชน
เอาแต่ความสะดวกสบายภายในรถยนต์ของตน?
คนพวกนี้มิใช่หรือที่เช้าเย็นขับรถยนต์ไปรับส่งลูกหลานที่โรงเรียนใหญ่ชื่อ
ดัง ค่าเล่าเรียนแพง
ทำให้รถติดตั้งแต่หน้าโรงเรียนยาวไปหลายสิบกิโลเมตรทั่วทั้งกรุงเทพฯ
สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องทุกวัน?
คนพวกนี้คือคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์อันหรูหราคันโต แอร์เย็นฉ่ำ มองไปนอกรถ
เห็นพ่อแม่และลูกเล็กอีกสองคนขี่ซ้อนกันบนรถจักรยานยนต์อันบอบบางอย่าง
เสี่ยงอันตรายเพราะรถยนต์คันเล็ก ๆ ตามปกติก็ยังราคาแพงเกินไป
เห็นคนจนที่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อรถยนต์ราคาแพง
จำต้องขี่จักรยานยนต์ไปทำมาหากินอยู่ทุกวัน คนจนและเด็ก ๆ
เหล่านี้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งตายและบาดเจ็บ
แต่คนพวกนี้มองดูอย่างไม่ยี่หระ หรือที่แย่ไปกว่านั้น
ก็มองอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า
รถจักรยานยนต์ของคนจนช่างเป็นพาหนะที่น่ารำคาญ
ทำให้การขับรถยนต์คันหรูของตนน่ารื่นรมย์น้อยลง
และพอคนจนเหล่านี้ได้อานิสงส์จากโครงการรถยนต์คันแรก
ยอมควักเงินที่หามายากยิ่ง
ผ่อนรถยนต์อีโคคาร์ขนาดจิ๋วสักหนึ่งคันให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและปลอดภัย
ขึ้นอีกเล็กน้อย ก็ถูกคนรวยพวกนี้ชี้หน้าด่าทอว่า
“พวกมึงทำให้รถติดเพิ่มขึ้น กูขับรถมีความสุขน้อยลง!”
พวกที่ด่าทอโครงการรถยนต์คันแรกอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ
พวกแพ้เลือกตั้งแล้วหาช่องทางโค่นล้มรัฐบาลทุกเม็ด
ตั้งแต่เสื้ออผ้าหน้าผมของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเมาไวน์ กุเรื่องโกหก
“ฟอกเงินที่ฮ่องกง” ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ๆ เช่น โครงการรับจำนำข้าว
ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 ต่อวัน ไปจนถึงข้อกล่าวหาว่า
รัฐบาลปล่อยให้มีการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งล่าสุด
ปั่นกระแสคลั่งชาติกรณีปราสาทพระวิหาร หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่า
น่าจะมีสักเรื่องหรือหลายเรื่องรวมกันที่เปิดช่องให้องค์กรเผด็จการในรัฐ
ธรรมนูญเข้ามายุบพรรค ยุบรัฐบาล ปลดนายกรัฐมนตรี
หรือเป็นข้ออ้างให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า
พวกนิยมเผด็จการทาสจารีตนิยมพวกนี้มีอาการเข้าขั้นที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
desperate แปลได้หลายคำว่า อับจนหนทาง เข้าตาจน สิ้นคิด หาทางออกไม่เจอ
แน่นอนว่า โครงการรถยนต์คันแรกอาจมีข้อดีทางเศรษฐกิจ เช่น
กระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ จากโรงงานประกอบชิ้นส่วน
โรงงานประกอบรถยนต์ ตัวแทนจำหน่าย ศูนย์ซ่อมรถยนต์
ไปจนถึงร้านห้องแถวโกโรโกโสที่ซ่อมรถยนต์ ธุรกิจประกันภัย ร้านประดับยนต์
ธุรกิจล้างรถยนต์ มีผลต่อผู้ผลิตและคนงานหลายแสนคนทั่วประเทศ
แต่การกระตุ้นการซื้อและใช้รถยนต์เพิ่มขึ้นก็มีต้นทุนทางสังคมสูงมากเช่นกัน
ทั้งการใช้พลังงาน ผลต่อสิ่งแวดล้อม
อุบัติเหตุและการสูญเสียบนถนนเพิ่มขึ้น ข้อวิจารณ์เหล่านี้ย่อมรับฟังได้
แต่จากความเป็นจริงที่โครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ ยังอยู่ในสภาพด้อยพัฒนาเช่นนี้
การสัญจรด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นสิ่งจำเป็นที่เลี่ยงได้ยากสำหรับคนเมือง
เราไม่อาจโยนความผิดทั้งหมดไปที่คนที่ขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ ทางออกคือ
ต้องเร่งพัฒนาและขยายระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ให้หลากหลายและทั่วถึงโดย
เร็วที่สุด เป็นทางเลือกที่จูงใจและมีราคาถูก และเมื่อถึงตอนนั้น
การใช้มาตรการจำกัดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลให้น้อยลงจึงจะเป็นสิ่งที่ทำได้
มีความชอบธรรม และจะถูกต่อต้านน้อยลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น