วันที่ 23 มกราคม
2556 (go6TV) สื่อ
มวลชนและองค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก
ให้ความสนใจกับคำตัดสินคดีนายสมยศอย่างมาก
โดยส่วนใหญ่ประณามว่าคำตัดสินดังกล่าวเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ
ประเทศที่ปกครองโดยหลักเสรีประชาธิปไตย
ทันทีที่มีการประกาศคำตัดสินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของนายสมยศ
พฤกษาเกษมสุข ให้เขารับโทษจำคุกรวมถึง 11 ปี
สื่อมวลชนทั่วโลกต่างก็หันมาจับตาประเทศไทย โดยทุกสำนักข่าวดังในต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นเอเอฟพี รอยเตอร์ บีบีซี อัลจาซีรา หรือ วอยซ์ออฟอเมริกา
ต่างก็พาดหัวข่าวนี้ในหน้าหนึ่งของเว็บไซต์ เนื่องจากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในไทย
เป็นคดีที่ได้รับการจับตามองและติดตามมากเป็นพิเศษ
ในฐานะที่มีการลงโทษอย่างรุนแรงและเข้มงวดที่สุดในโลก
และยังมีกระบวนการดำเนินคดีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สอดคล้องกับหลักยุติธรรมสากล
สำนักข่าวบีบีซี
รายงานปฏิกิริยาจากทางสหภาพยุโรป โดยคณะผู้แทนของสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย
ได้ออกแถลงการณ์ประณามคำตัดสินในคดีนี้ว่าเป็นการบ่อนทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพสื่ออย่างร้ายแรง
และในขณะเดียวกันยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของสังคมไทยในฐานะสังคมเสรีประชาธิปไตยอีกด้วย
ส่วนทางด้านขององค์การด้านสิทธิมนุษยชนที่ตามติดคดีนี้มาตั้งแต่ต้นอย่างองค์การนิรโทษกรรมสากล
หรือ Amnesty
International และ Human Rights Watch ก็มีปฏิกิริยาค่อนข้างรุนแรงต่อคำตัดสินนี้เช่นเดียวกัน
โดยนางอิซาเบล อาร์ราดอน ผู้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมสากลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ได้ออกมากล่าวว่าการตัดสินจำคุกนายสมยศเป็นการถอยหลังเข้าคลอง
เนื่องจากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดเพียงเพราะกล้ายืนยันในสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของตัวเอง
นอกจากนี้
ทางองค์การนิรโทษกรรมสากลยังเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนายสมยศและนักโทษการเมืองทั้งหมดที่ถูกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเล่นงาน
รวมถึงเสนอแนะว่านายสมยศควรจะได้รับเงินชดเชยจากทางการไทย
ในฐานะที่ต้องถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานในระหว่างการดำเนินคดี
และในโอกาสนี้
นางอาร์ราดอนยังเรียกร้องให้ไทยยับยั้งการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และเร่งแก้ไขกฎหมายฉบับนี้โดยด่วน
เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ไทยให้การรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกด้วย
ส่วนทางด้านของนายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการ Human Rights Watch ภาคพื้นเอเชีย
ก็ออกมาประณามคำตัดสินนี้เช่นกัน พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่าการลงโทษนายสมยศอย่างหนักเช่นนี้
ดูจะมาจากการที่เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนการแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
มากกว่าการที่เขาจะล้มล้างหรือทำอันตรายสถาบันจริงๆ
ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
องค์การนิรโทษกรรมสากลได้จัดโครงการรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันเขียนจดหมายถึงนางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรี , พลตำรวจเอกประชา
พรหมนอก รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศและนักโทษการเมืองทุกคน
รวมถึงแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเขียนจดหมายเป็นจำนวนมาก
แต่คำตัดสินที่ออกมาในวันนี้
ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่ากระบวนการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น