16 มกราคม, 2013 - 13:03 | โดย mOuRoSe
ก่อนปีใหม่นิดหน่อยข้าพเจ้าได้มีโอกาสผ่านไป อ.ด่านซ้าย จ.เลย การไปครั้งนี้ข้าพเจ้าได้เข้าไปสักการะพระธาตุศรีสองรัก ซึ่งเป็นพระธาตุสำคัญของที่นั่นด้วย ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็เคยผ่าน อ.ด่านซ้ายหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้แวะเข้าไปสักการะพระธาตุ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความเชื่อผิดๆที่ข้าพเจ้าจดจำมา ที่ว่า คู่รักควรจะมาไหว้สักการะพระธาตุศรีสองรักเพื่อขอพรให้รักมั่นยืน อะไรประมาณนั้น ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย เพราะ
พระธาตุศรีสองรักเป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นมาเพื่อยืนยันสัจจะวาจา ว่าจะไม่รุกรานกันระหว่างพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์กรุงศรีสัตนาคนหุต(นครหลวงเวียงจัน) กับพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างที่ทั้งสองเมืองกำลังถูกรุกรานจากพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์เมืองหงสาวดีที่กำลังเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยนั้น พระธาตุศรีสองรักจึงถูกสร้างขึ้นริมน้ำหมันในปี พ.ศ.2103 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2106 เพื่อเป็นหลักบอกอาณาเขตระหว่างกันและกัน ว่าทั้งสองเมืองจะไม่ยกกองทัพล่วงล้ำผ่านแดนเพื่อไปทำลายกันและกัน
ซึ่งสัจจะวาจาของกษัตริย์ทั้งสองที่ได้ให้ไว้ต่อพระธาตุก็ได้มั่นยืนมาถึง 219 ปี คือถึงปี พ.ศ. 2322 สมัยกรุงธนบุรี ที่หลังจากประกาศอิสระภาพจากพม่า ก็กำลังเข้มแข็งเรืองอำนาจ พอๆกับที่ทางนครฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงก็กำลังอ่อนแอ เกิดความแตกแยก แบ่งเป็นสามอาณาจักร คือ นครเวียงจัน หลวงพระบางและจำปาสัก โดยกษัตริย์ผู้ครองนครทั้งสามนครต่างเป็นเครือญาติกันทั้งนั้น แต่ทั้งสามก็ต่างต้องการที่จะมีอำนาจเหนือกัน จึงรบราฆ่าฟันกันหลายปี ไม่มีใครได้ชัยชนะเบ็ดเสร็จ ต่างฝ่ายจึงต่างคิดหาตัวช่วย โดยการเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี และเมื่อทางกรุงธนบุรีเห็นว่า นครเหล่านี้กำลังอ่อนแออย่างสุดๆ ปีพ.ศ.2320 จึงได้ส่งเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกหรือพระยาจักรียกไปตีเวียงจันทร์ ใช้เวลาสองปีจึงได้ชัยชนะตีเวียงจันแตก ตรงกับวันจันทร์ แรม 3 ค่ำ เดือน 10 พ.ศ. 2332 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสิ้นสุดพันธสัญญา ละเมิดคำสาบานที่กษัตริย์ของทั้งสองนครได้กระทำไว้ด้วยกันต่อองค์พระธาตุศรี สองรัก ที่เมืองด่านซ้ายแห่งนี้ เช่นกัน ผมมากราบสักการะพระธาตุก็เพื่อระลึกถึงพันธสัญญาที่มีการกระทำไว้ ณ. พระธาตุศรีสองรักแห่งนี้...
กราบไหว้องค์พระธาตุเสร็จ ผมออกไปเดินตลาดเย็น ดูผู้คนหลากหลายมากหน้าหลายตา ฟังสำเนียงลาวไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของที่นี่ เห็นดวงตาแวววาว บนใบหน้ากร้านลมแดดของแม่เฒ่าขายผัก ขณะร้องเรียกผู้คน พร้อมๆกับที่มือเหี่ยวย่นนั้นก็เคลื่อนไหวหยิบจับผักพืชใส่ถุงอย่างคล่อง แคล่ว ทำให้หวนคิดถึง สนธิสัญญาไทยฝรั่งเศสที่ทำขึ้นในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช คืออนุสัญญา 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ที่ไทยได้ยกพื้นที่ อ.ด่านซ้ายให้แก่ฝรั่งเศษเพื่อขอให้ฝรั่งเศษยอมคืนจันทบุรีและตราดแก่ไทย สัญญาฉบับนี้ทำให้อ.ด่านซ้าย อ.นาแห้ว ต้องถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแก่นท้าวของลาวภายใต้การปกครองของ ฝรั่งเศส หากสัญญาฉบับนั้นยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าคงไม่สามารถเข้ามาสักการะพระธาตุ เดินตลาดและถ่ายรูปปั้นผีตาโขนได้อย่างนี้ และแม่เฒ่าที่นั่งขายผักอยู่นี่ ก็คงเป็นคนต่างชาติกับข้าพเจ้า ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่า หากเป็นเช่นนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีต่อคนที่นี่ ยิ่งเมื่อระลึกได้ถึงคำตรัสที่ว่า”ถึงแม้ลาวจะเป็นคนหัวอ่อนปกครองง่าย แต่เมื่อคิดถึงกระเป๋าแล้วคงไม่สบาย...” ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่แน่ใจมากยิ่งขึ้น ว่าระหว่างเส้นเขตแดนจากอนุสัญญา พ.ศ.2446 กับเส้นเขตแดนปัจจุบัน อย่างไหนจะดีต่อคนที่นี่มากกว่ากัน...
ก่อนจะเข้าที่พักคืนนั้น ผมแวะทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารริมทาง ขณะนั่งรออาหารที่สั่ง เหลือบมองไปฟากถนน เห็นควันโรยตัวเป็นสายบางๆ บ้างถูกลมพัดกำจาย โชยกลิ่นหอมหวลของไส้กรอกอีสานย่างมาจนถึงฟากที่ผมนั่งอยู่ อดไม่ไหวต้องลุก เดินข้ามถนนไปซื้อมาชิมแกล้มเบียร์ ฆ่าเวลารออาหารที่สั่ง
วัฒนธรรมของคนที่นี่คล้ายๆกับคนอีสานของไทยและคนลาวเวียงจัน คงเพราะคนที่นี่มีการแลกเปลี่ยนและสืบเชื้อสายมาจากคนแก่นท้าว หนองคายและเวียงจันนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงมีหลักฐานบอกถึงสายสัมพันธ์นี้ อยู่ในภาพเขียนที่ผนังวิหารวัดโพธ์ชัย ต.นาพึง อ.นาแห้ว เป็นวิหารเก่าที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 22-23 คือช่วงอยุธยาตอนปลายถึงตอนต้นรัตนโกสินทร์ เป็นภาพเขียนที่บ่งบอกถึงลักษณะการแต่งกายของคนพื้นถิ่นที่ละม้ายคล้ายคลึง กับคนเวียงจันอย่างยิ่ง (การแต่งหน้า เกล้าผม พาดสไบ และลายบนผ้าซิ่น)
ประเทศเพื่อนบ้านกับเรา ต่อไปนี้จะอยู่ร่วมกันยังไง เป็นเรื่องที่น่าคิดและควรมีการวางแนวทางร่วมกันได้แล้วในเวลานี้ ว่าเราจะคบหากันอย่างไร การจะเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 เราจะคบหากันอย่างไรในเขตประชาคมร่วมนั้น ...แน่นอน หากเราคบหากันด้วยความมีอคติ มุ่งร้าย คาดหวัง จะกอบโกยคดโกงเพื่อนบ้าน เราก็ย่อมจะอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีความสุข เพราะต้องหวาดระแวงว่าตนจะถูกเอาเปรียบ และ/หรือจ้องจะเปรียบเขาอยู่ การร่วมมือก็คงจะหาความสามัคคีไม่ได้ การจับมือก็คงจะเป็น การแตะมือกันอย่างว่างเปล่าโดยที่มืออีกข้างกลับกำมีดซ่อนไว้ข้างหลัง... กลับกัน หากเราคบหาสมาคมกันด้วยความจริงใจ ด้วยไมตรีจิตผูกมิตรใจกันจริงๆ ประชาคมอาเซียนก็ย่อมจะเป็นประชาคมแห่งความสามัคคีและสงบสุข มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของเพื่อนบ้าน คบหากันอย่างเปิดใจ เฉกเช่นที่บรรพบุรุษของพวกเราทั้งหลายได้เคยปฏิบัติต่อกันมานับแต่ครั้งบรรพ กาล(ไม่รวมชนชั้ปกครอง) ที่มีการทำมาหากินร่วมกัน ค้าขายแลกเปลี่ยนกัน และโยกย้ายไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวก ไร้เขตแดนขีดคั่น แบ่งแยกกันให้ห่างเฉกเช่นปัจจุบัน
ก่อนหลับนอนคืนนั้น... ผมคิดว่า ควรอย่างยิ่งที่ประชาชนทุกๆคนในกลุ่มประเทศอาเซียน จะได้มาร่วมกันทำสัตย์ปฏิญญา เบื้องหน้าองค์พระธาตุศรีสองรัก ว่าทุกคนทุกชาติจะอยู่ร่วมกันฉันท์มิตร มีความร่วมมือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อาทรต่อกัน ร่วมด้วยช่วยเหลือกันอย่างมิตรที่ดี ไม่เอารัดเอาเปรียบไม่ทำร้ายทำลายกัน... คำสาบานในครั้งก่อนยั่งยืนอยู่ได้ 219 ปี เพราะเป็นการกระทำสัตย์ของคนชั้นปกครองเพียงไม่กี่คน แต่สัตย์ปฏิญญาครั้งใหม่นี้ จะเป็นการกระทำร่วมกันของประชาชนทุกคน ทั่วเขตแดนประชาคมอาเซียน ผมเชื่อว่าสัตย์ปฏิญญาร่วมกันของประชาชนทั้งหลายที่เท่าเทียมเสมอหน้ากันจะ ต้องศักดิ์สิทย์และยั่งยืนยิ่งกว่าสัตย์ปฏิญญาในครั้งก่อนๆอย่างแน่นอน
และพรุ่งนี้ ผมอยากเห็นภาพญาติๆในฝั่งไทย บ้างเดินข้ามน้ำเหือง บ้างล่องเรือข้ามน้ำโขงไปทำนาในฝั่งลาว พลบค่ำก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า ในตะกล้ามีผักสดที่ปลูกไว้ข้างคันนากลับมาด้วย เช่นเดียวกับคนลาวและคนเขมร ก็เข้ามาทำนา หาญาติ และทำงานในฝั่งไทยในยามเช้า ก่อนที่เย็นย่ำก็จะขับรถกลับไปนอนที่บ้านได้เช่นเดียวกัน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น